ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

กทม.เตรียมยื่นฟ้องหมิ่นประมาทฮั้วประมูล CCTV

รองผู้ว่าฯ ธีระชนแถลงผลการตรวจสอบติดตั้ง CCTV กทม. หลังคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เรียกเอกสารหลายหน่วยงานเปรียบเทียบราคาการจัดซื้อกล้องลักษณะเดียวกัน ยืนยัน CCTV กทม.ไม่ได้มีราคาสูงตามข้อกล่าวหา มอบทีมกฎหมายรวบรวมเอกสารเตรียมยื่นฟ้องผู้กล่าวหา ใส่ความ ฐานหมิ่นประมาททำให้องค์กรเสื่อมเสียและดูหมิ่นการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมถึงฟ้องตามข้อบังคับประมวลจริยธรรม เพื่อกู้ศักดิ์ศรีกทม.คืน
(19 ม.ค.55) ที่ศาลาว่าการกทม. เวลา 13.00 น. : ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวชี้แจงกรณีการตรวจสอบการจัดซื้อกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หรือ CCTV ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งก่อนหน้านี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวหากทม.ทุจริตการประมูลจัดซื้อกล้อง CCTV โดยใช้ถ้อยคำส่อเสียด ดูถูก เหยียดหยาม เป็นการดูหมิ่นกรุงเทพมหานครนอกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง อีกทั้งยังมีกรรมาธิการวิสามัญบางท่านซึ่งมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้แสดงพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันต่อผู้แทนของกทม.ในการประชุมชี้แจงเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้บุคคลที่สาม และประชาชนทั่วไปขาดความเชื่อถือศรัทธาในการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริง ภายหลังจากที่มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิดกทม. คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดดังกล่าวได้เรียกตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับราคาค่าติดตั้งสายเคเบิลเส้นใยแก้วนำแสง จุดติดตั้งกล้อง CCTV กล้องดัมมี่ และอุปกรณ์หุ้มกล้อง ค่าบำรุงรักษาระบบเครือข่ายสื่อสารและระบบโทรทัศน์วงจรปิด ตลอดจนค่าประกันวัสดุอุปกรณ์ พร้อมทั้งได้เรียกเอกสารจากหน่วยงานอื่นๆ ได้แก่ โครงการติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสงและกล้องโทรทัศน์วงจรปิด CCTV ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และข้อมูลรายละเอียดราคาสายใยแก้วนำแสงและราคาเดินสายใยแก้วนำแสงของการไฟฟ้านครหลวง เพื่อพิจารณาเปรียบเทียบราคา ปรากฏว่า โครงการจัดซื้อกล้อง CCTV สายไฟเบอร์ออพติคภายใต้คุณภาพและปริมาณงานเดียวกันพบว่า การจัดหาของกรุงเทพมหานคร มิได้มีราคาสูงกว่าการจัดหาของสำนักงาน ป.ป.ช. และ การไฟฟ้านครหลวง ทั้งนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดดังกล่าวได้เรียกเอกสารเพิ่มเติมการจัดหาอุปกรณ์ในลักษณะเดียวกันกับของกระทรวงมหาดไทย สนามบินสุวรรณภูมิ และการทางพิเศษแห่งประเทศไทยมาตรวจสอบเปรียบเทียบเพิ่มเติมอีกด้วย
รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า เพื่อเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของกรุงเทพมหานคร รวมถึงการปฏิบัติงานของข้าราชการ กทม.ได้มอบหมายให้สำนักงานกฎหมายและคดีรวบรวมเอกสารทั้งหมดเพื่อพิจารณาฟ้องร้องดำเนินคดีตามความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 328 และ 393 ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งทำให้กรุงเทพมหานครเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อีกทั้งดำเนินคดีตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลกฎหมายจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ ข้อ 15 และ 38 ที่ระบุให้สมาชิกและกรรมาธิการต้องเคารพสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของผู้อื่น ไม่แสดงกิริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ มีลักษณะเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท เสียดสีหรือใส่ร้ายป้ายสีบุคคลใดโดยไม่มีพยานหลักฐาน หรือนเอาเรื่องเป็นเท็จมาอภิปรายแสดงความเห็นในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ หรือที่อื่นใด ซึ่งหากสมาชิกหรือกรรมาธิการผู้ใดฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมข้อใดให้คณะกรรมการมีอำนาจที่จะพิจารณาลงโทษสมาชิกหรือกรรมาธิการ กรณีเป็นความผิดไม่ร้ายแรง ให้ลงโทษโดยการตักเตือน ตำหนิ ให้ขอโทษต่อที่ประชุมตามที่คณะกรรมการกำหนด หรือประณามให้เป็นที่ประจักษ์ หากเป็นความผิดร้ายแรงให้ลงโทษโดยการเสนอถอดถอนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินตามกฎหมายต่อไป
รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวด้วยว่า โดยส่วนตัวแล้ว ไม่อยากเห็นนักการเมืองเอาความปลอดภัยของประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อลดความน่าเชื่อถือหรือทำร้ายฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำร้ายองค์กรซึ่งจะต้องทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนและตนเองจะทำทุกวิถีทางเพื่อเรียกชื่อเสียงและเกียรติยศของกรุงเทพมหานครกลับคืนมา กทม.ขอยืนยันว่ายินดีให้ความร่วมมือในการตรวจสอบขององค์กรอิสระต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สตง. ดีเอสไอ หรือ ป.ป.ช. ในทุกเรื่อง ทั้งนี้เพียงต้องการสร้างบรรทัดฐานที่ดีในการตรวจสอบในอนาคตต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น