ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กทม. จัดโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการบำนาญ รุ่นที่ 2

กทม. จัดโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการบำนาญ รุ่นที่ 2
(28 ก.พ. 54) เวลา 09.00 น. : ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานคร โดยมี แพทย์หญิงมาลินี สุขเวชชวรกิจ และนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายกฤษฎา กลันทานนท์ ผู้อำนวยการสำนักการคลัง และข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานคร ร่วมงาน ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 11 โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ มหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ซึ่งกรุงเทพมหานครจัดขึ้นเป็นรุ่นที่ 2 จำนวน 1,000 คน เพื่อให้ข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานครได้มาพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน รวมถึงได้รับความรู้เรื่องการรักษาสุขภาพกายและใจในวัยสูงอายุ
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ข้าราชการบำนาญเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ ถึอเป็นผู้สูงอายุที่ยังทำประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ การจัดโครงการในครั้งนี้จะเป็นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ผู้สูงอายุได้รับความรู้ ความเข้าใจในการรักษาสุขภาพกายและใจของตนเองเพื่อให้มีคุณค่าต่อครอบครัวและสังคม มีความรัก ความเข้าใจ ความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข โดยกรุงเทพมหานครจัดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีเพื่อให้ข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานครซึ่งมีจำนวนกว่า 12,000 คน ได้หมุนเวียนกันมาเข้าร่วมโครงการเพื่อจะได้นำหลักแนวคิดไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและมีชีวิต หลังเกษียณอายุราชการอย่างมีความสุขต่อไป

ชาวภาษีเจริญแสดงพลังรู้รักสามัคคี รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน

ชาวภาษีเจริญแสดงพลังรู้รักสามัคคี รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน
(26 ก.พ. 54) เวลา 07.00 น. : นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในงาน “ปวงข้าพระพุทธเจ้ารู้รักสามัคคี รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” จัดสำนักงานเขตภาษีเจริญ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และแสดงออกถึงพลังความรัก สามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า โดยมี น.ส.วิภาวี พงศ์พิริยะวนิช ผู้อำนวยการเขตภาษีเจริญ พลตรีภาณุวัชร นาควงษม์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 พร้อมด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน ร่วมพิธี ณ บริเวณสมาคมมิตรภาพบางแค ถ.พุทธมณฑลสาย 1 เขตภาษีเจริญ
สำนักงานเขตภาษีเจริญ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน จัดงาน “ปวงข้าพระพุทธเจ้ารู้รักสามัคคี รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา อีกทั้งยังเป็นการสร้างพลังความรัก ความสามัคคีของประชาชนทุกหมู่เหล่า โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย พิธีทำบุญเพื่อชาติฯ การตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้งแด่พระสงฆ์ จำนวน 285 รูป พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณรู้รักสามัคคี รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รวมไปถึงการแจกจ่ายน้ำพระพุทธมนต์ที่รวบรวมมาจาก 99 วัดทั่วกรุงเทพมหานครให้แก่ประชาชนและผู้ร่วมงาน
นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมพิเศษเพื่อบริการประชาชน อาทิ การปล่อยขบวนรถเครือข่ายโครงการบำบัดทุกข์ ทุกชีวิต ทุกเรื่องราว เราดูแล โดยเครือข่าย 35 ภาคส่วนเพื่อรับข้อร้องเรียนต่างๆ การบริการตรวจสุขภาพโดยศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร การรับสมัครงาน การฝึกอาชีพ และการเทจุลินทรีย์ชีวภาพเพื่อบำบัดน้ำเสียโดยมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) เป็นต้น

ถกปัญหาการศึกษากลุ่มกรุงเทพกลาง

ถกปัญหาการศึกษากลุ่มกรุงเทพกลาง
9 เขตกรุงเทพกลางถกปัญหาจัดการศึกษาโรงเรียนในสังกัด ชี้ปัญหาครูโอนย้ายส่งผลกระทบการเรียนการสอนไม่ต่อเนื่อง เตรียมขยายสัญญาจาก 3 ปีเป็น 5 ปี พร้อมเพิ่มสวัสดิการครูเพื่อขวัญและกำลังใจ ด้านรองผู้ว่าฯ ทยา แจงแนวทางแก้ไขปัญหาครู เตรียมให้ทุนนักเรียน ม.6 ในสังกัดเรียนต่อครุศาสตร์ สร้างครูพันธุ์ใหม่ ปลูกฝังวิชาชีพครูพร้อมแก้ปัญหาครูโอนย้ายในอนาคต
(26 ก.พ. 54) เวลา 10.00 น. : นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการสัญจร กลุ่มกรุงเทพกลาง เพื่อรับฟังการดำเนินงานตามนโยบายการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง 9 สำนักงานเขตประกอบด้วย เขตพญาไท ดุสิต ดินแดง ราชเทวี ป้อมปราบศัตรูพ่าย วังทองหลาง สัมพันธวงศ์ ป้อมปราบศัตรูพ่าย และพระนคร โดยมี นางบุษกร คงอุดม ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นางนินนาท ชลิตานนท์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร น.ส.กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสำนักการศึกษา ผู้อำนวยการเขต ผู้บริหารโรงเรียน และหน่วยศึกษานิเทศก์ ร่วมการประชุม ณ โรงเรียนสามเสนนอก เขตดินแดง
แจงปัญหาการจัดการศึกษา 41 โรงเรียนในสังกัด
กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง มีโรงเรียนในสังกัดทั้งสิ้น 41 โรงเรียน ครู 1,112 คน นักเรียน 24,347 คน จัดการเรียนการสอนโดยเน้นความเป็นเลิศด้านศิลปวัฒนธรรม คุณธรรม และจริยธรรม เนื่องด้วยเป็นแหล่งชุมชนใจกลางเมือง มีจำนวนประชากรหนาแน่น อีกทั้งเป็นแหล่งธุรกิจการค้า แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น วัด วัง โบราณสถานซึ่งเป็นแหล่งรวมศิลปวัฒนธรรม และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก โดยปัญหาและอุปสรรคของการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ วิกฤตทางการเมืองในพื้นที่เขตชั้นในส่งผลนักเรียนไม่สามารถเรียนหนังสือได้อย่างเต็มที่ อาคารสถานที่คับแคบไม่มีพื้นที่ให้นักเรียนทำกิจกรรม ขาดแคลนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ การขาดขวัญกำลังใจในการทำงาน ไม่มีสวัสดิการบ้านพักครูและการศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ และไม่มีเจ้าหน้าที่ธุรการ การเงินและบัญชีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงเรียนขนาดเล็ก การจัดอบรมหลักสูตรต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นเวลาเปิดภาคเรียนอีกทั้งปัญหาการทำวิทยฐานะ ตลอดจนปัญหาครูต้องเข้าร่วมกิจกรรมของสำนักงานเขตและหน่วยงานภายนอกตามที่ร้องขอ ทำให้ครูสอนไม่เต็มที่ และที่สำคัญคือปัญหาครูโอนย้ายกลับภูมิลำเนาและไม่สามารถเรียกทดแทนตำแหน่งได้ในทันที ซึ่งผ่านมาในปี 2551 มีครูในสังกัดกทม. ขอโอนย้ายกลับภูมิลำเนา จำนวน 178 คน ปี 2552 จำนวน 287 คน ปี 2553 456 คน และปี 2554 (ต.ค. - ก.พ.) จำนวน 341 คน และโอนย้ายแล้ว 153 คน
เร่งสางทุกปัญหาครูไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษา
ทั้งนี้เบื้องต้น สำนักการศึกษาได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาครูโอนย้ายกลับภูมิลำเนา โดยจะแก้ไขสัญญาการดำรงอยู่ในตำแหน่งก่อนโอนย้ายจาก 3 ปีเป็น 5 ปี และจะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเป็นเวลา 1 ปี เพื่อจัดหาครูผู้สอนทดแทน ซึ่งหากตำแหน่งดังกล่าวไม่มีตำแหน่งทดแทนจะไม่สามารถขอโอนย้ายได้ ขณะเดียวกันสำนักการศึกษาจะเปลี่ยนแปลงกำหนดวันสอบเพื่อเข้ารับราชการครูให้พร้อมกับการสอบครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อคัดเลือกผู้ที่ตั้งใจจะทำงานกับกทม. โดยแท้จริง ในส่วนของการฝึกอบรมครูให้ปรับเวลาการอบรมเป็นช่วงปิดภาคเรียนและไม่ตรงกับช่วงสอบของนักเรียน ปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่ธุรการ การเงินและบัญชี ขณะนี้อยู่ระหว่างเปิดสอบ
ในส่วนของปัญหาอาคารสถานที่คับแคบได้พิจารณาให้การก่อสร้างอาคารใหม่ของโรงเรียนมีความสูงขนาด 6 ชั้นขึ้นไป อีกทั้งอาจจะออกแบบให้อาคารสูงขึ้นเพื่อให้มีห้องพักสำหรับครูไปพร้อมกัน ส่วนปัญหาการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ มูลค่ารวมกว่า 900 ล้านบาท ซึ่งเรื้อรังมาตั้งแต่ปี 2551 ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาผู้มีสิทธิ์เคาะราคาประมูล หากไม่มีปัญหาร้องเรียนจะสามารถประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เคาะราคาและดำเนินการตามขั้นตอนได้ทันเปิดภาคการศึกษา 2554 ซึ่งจะทำให้นักเรียนในสังกัดมีคอมพิวเตอร์ใช้ทุกคน
เตรียมแผนสร้างครูพันธุ์ใหม่และคืนครูให้นักเรียน
รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวเสริมว่า กทม.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนในสังกัดมีคุณภาพ ขณะเดียวกันก็แก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูควบคู่ไปด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอน อาทิ ปัญหาครูไม่ตรงวุฒิการศึกษาซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 2,000 คนจาก 15,000 คน ขณะนี้แก้ไขโดยการจัดอบรมพิเศษต่อเนื่องเพื่อให้มีพื้นฐานในการสอนอย่างแม่นยำ การส่งเสริมให้ครูทำวิทยฐานะ และการแก้ไขปัญหาครูโอนย้าย เป็นต้น พร้อมกันนี้กทม. มีนโยบายที่จะปลูกฝังความเป็นครูให้แก่นักเรียนในสังกัด ในโครงการคุรุทายาทเพื่อสร้างครูพันธุ์ใหม่ โดยให้ทุนการศึกษานักเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่สนใจสาขาวิชาครุศาสตร์ มีผลการเรียนดี และสนใจด้านการศึกษา ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี 50 ทุน และจะขยายโครงการต่อเนื่อง อีกทั้งโครงการคืนครูให้นักเรียน เพื่อให้ครูและนักเรียนมีความใกล้ชิดกันและเต็มที่กับการเรียนการสอนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หน้าที่หลักที่สำคัญของครูคือการอยู่กับนักเรียน หากงานใดไม่มีเหตุจำเป็นหรือเป็นเรื่องของหน่วยงานภายนอกขอให้ผู้อำนวยการโรงเรียนและผู้อำนวยการเขตพิจารณาความเหมาะสมในการส่งครูเข้าร่วมกิจกรรมด้วย

ผสานแนวร่วมควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกรุงเทพฯ

ผสานแนวร่วมควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกรุงเทพฯ
กทม. จับมือเครือข่าย เดินหน้าจัดทำแผนบูรณาการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กรุงเทพมหานคร แก้ปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ ป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ สร้างแรงจูงใจให้เยาวชนและประชาชน ลด ละ เลิก ดื่มแอลกอฮอล์
(28 ก.พ. 54) ณ ห้องราชา 1 โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ มหานาค : พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดการประชุมโครงการจัดทำแผนบูรณาการการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแนวทาง การดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ของกรุงเทพมหานครที่ปฏิบัติงานด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และผู้เข้าร่วมประชุมมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีข้าราชการกรุงเทพมหานครจากสำนักการแพทย์ สำนักอนามัย สำนักเทศกิจ สำนักพัฒนาสังคม สำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว สำนักงานเขต และผู้แทนหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวม 155 คน เข้าร่วมประชุม พร้อมทั้งรับฟังการบรรยาย อภิปราย และแลกเปลี่ยนความรู้ เนื้อหาเรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในมุมมองของนักวิชาการด้านกฎหมาย สังคม การแพทย์และสาธารณสุข สถานการณ์ปัญหาสุราในประเทศไทย แผนยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ และแผนบูรณาการการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กรุงเทพมหานคร โดยวิทยากรจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรมสุขภาพจิต สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา และมูลนิธิเพื่อนหญิง
พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งกรุงเทพมหานครให้ความสำคัญและตระหนักถึงปัญหามาโดยตลอด อีกทั้งดำเนินการด้านต่างๆ ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2553 อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้จำนวนนักดื่มลดลงมากที่สุด และเป็นรูปธรรม รวมถึงมีการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาให้ปลอดจากแหล่งอบายมุข ส่งเสริมมาตรการควบคุมการเข้าถึงแหล่งอบายมุขหรือสถานที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จัดสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้เยาวชนตระหนักถึงปัญหายาเสพติดและอบายมุขตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพคนเมืองกรุงเทพมหานคร 2553–2556 เพื่อให้กรุงเทพมหานครก้าวสู่เป้าหมายการเป็นเมืองที่ปลอดภัย ทั้งนี้การร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน มูลนิธิ เครือข่ายประชาชน และเยาวชน จะเป็นกำลังสำคัญในการควบคุมและแก้ไขปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลสำเร็จและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและสังคมต่อไป

กทม. ชวนประชาชนร่วมสร้างประวัติศาสตร์ ปูกระเบื้องถนนสายกลางท้องสนามหลวง 18 มี.ค. นี้

กทม. ชวนประชาชนร่วมสร้างประวัติศาสตร์ ปูกระเบื้องถนนสายกลางท้องสนามหลวง 18 มี.ค. นี้
กทม. ร่วมกับกองทัพภาคที่ 1 ปรับปรุงภูมิทัศน์สนามหลวง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธ.ค. 54 โดยคืบหน้าแล้ว 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกทม.มั่นใจเสร็จตามกำหนดเดือน เม.ย. นี้ พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการปูกระเบื้องถนนสายกลางท้องสนามหลวง 18 มี.ค. นี้
(25 ก.พ. 54) เวลา 16.00 น. ณ ท้องสนามหลวง : ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยพล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 ร่วมกันแถลงข่าว “โครงการราษฎร์รวมใจ ใต้เบื้องพระยุคลบาท เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา องค์ราชัน” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครกับกองทัพภาคที่ 1 โดยกองพลพัฒนาที่ 1 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธ.ค. 54 โดยดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ท้องสนามหลวงให้กลับคืนสู่ความสวยงาม พร้อมรับงานพระราชพิธีและงานพิธีต่างๆ โดยในวันที่ 18 มี.ค. 54 เวลา 15.00 น. หน่วยงานก่อสร้างจะดำเนินการปูกระเบื้องทางเท้า โดยเชิญชวนให้ประชาชนที่มาร่วมพิธี ร่วมกันปูกระเบื้องทางเท้าบริเวณถนนสายกลางภายในบริเวณท้องสนามหลวง โดยไม่เสียค่าใช่จ่ายใดๆทั้งสิ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือร่วมใจแสดงความจงรักภักดีและร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญตามแผนดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณท้องสนามหลวง
สำหรับการดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์สนามหลวงประกอบด้วย 7 งานหลัก คือ งานปรับปรุงพื้นที่ งานระบบระบายน้ำและงานเชื่อมต่อกับระบบน้ำสาธารณะ งานระบบไฟฟ้าแสงสว่าง งานระบบรดน้ำต้นไม้ งานปลูกหญ้าในสนาม งานระบบความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวก และงานปูกระเบื้องทางเท้า โดยให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการปูกระเบื้องถนนสายกลางท้องสนามหลวง ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 4,200 ตารางเมตร ใช้เป็นพื้นที่ประกอบพระราชพิธีและเป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ในการเสด็จฯมาประกอบพระราชกรณียกิจ ณ ท้องสนามหลวง ซึ่งเปรียบเสมือนการเตรียมลาดพระบาทเพื่อพระองค์
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้การปรับปรุงภูมิทัศน์ท้องสนามหลวงมีความคืบหน้าประมาณร้อยละ 75 คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือน เม.ย. นี้ ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมคือปลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ และขอเชิญชวนประชาชนร่วมแสดงความจงรักภักดีและร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ด้วยการปูกระเบื้องถนนสายกลางท้องสนามหลวง ในวันที่ 18 มี.ค. นี้ ในส่วนของการแก้ไขปัญหาคนเร่ร่อนบริเวณท้องสนามหลวงนั้น กรุงเทพมหานครได้ประสานความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดูแลให้เกิดความเรียบร้อยต่อไป

ชมฟรีดนตรีในสวนปีที่ 18 สมัยกาลดนตรีไทย ในสวนลุมพินี

ชมฟรีดนตรีในสวนปีที่ 18 สมัยกาลดนตรีไทย ในสวนลุมพินี
(27 ก.พ. 54) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดงาน “ดนตรีในสวนปีที่ 18 สมัยกาลดนตรีไทย” ซึ่งกรุงเทพมหานคร ร่วมกับหนังสือพิมพ์มติชน ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ โดยการสนับสนุนของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ธนาคารกรุงเทพ บริษัท โอสถสภา จำกัด บริษัท สปา-ฮาคูโฮโด แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกันจัดขึ้นทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 20 ก.พ. - 24 เม.ย. 54 เวลา 17.30–19.30 น. ณ ศาลาภิรมย์ภักดี บริเวณสวนปาล์ม สวนลุมพินี เขตปทุมวัน โดยประชาชนสามารถชมความบันเทิงได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
กรุงเทพมหานครจัดการแสดงดนตรีในสวนเพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปพักผ่อนในบรรยากาศสบายๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยไม่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด สำหรับประชาชนที่มากันเป็นครอบครัว สามารถนำอาหาร และเครื่องดื่มง่ายๆ มานั่งกลางสนามหญ้าพร้อมชมดนตรี ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้เด็กมีจิตใจร่าเริงและชื่นชอบ ในดนตรี อันเป็นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี โดยการแสดงในวันอาทิตย์ที่ 6 มี.ค. 54 พบกับสุรชัย จันทิมาธร วงคาราวาน วันอาทิตย์ที่ 13 มี.ค. 54 เทวัญ ทรัพย์แสนยากร และวง Tewan Novel Jazz วันอาทิตย์ที่ 20 มี.ค. 54 วงดนตรีไทยกรุงเทพฯ และการแสดงของศูนย์เยาวชนลุมพินี วันอาทิตย์ที่ 27 มี.ค. 54 วงดนตรีลูกทุ่งกาสะลอง (มรภ.พระนคร) วันอาทิตย์ที่ 3 เม.ย. 54 วงดุริยางค์เยาวชนไทย วันอาทิตย์ที่ 10 เม.ย. 54 วงดนตรีสากล วันอาทิตย์ที่ 17 เม.ย. 54 พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ และวันอาทิตย์ที่ 24 เม.ย.54 การแสดงศิลปะพื้นบ้าน 4 ภาคและโขน
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถติดตามรายการแสดงจากหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันศุกร์ หนังสือพิมพ์ข่าวสดฉบับวันเสาร์ และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจฉบับวันพฤหัสบดี และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่หนังสือพิมพ์มติชน โทร. 0 2589 0020 ต่อ 1702 หรือที่สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม. โทร. 0 2246 0301-3 หรือ http://www.matichon.co.th

กทม. เปิดช่องประชาชนร้องเรียนปัญหาไฟฟ้าแสงสว่างผ่าน 1555 และสำนักงานเขต

กทม. เปิดช่องประชาชนร้องเรียนปัญหาไฟฟ้าแสงสว่างผ่าน 1555 และสำนักงานเขต
กทม. เตรียมตั้งคณะทำงานประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ ภายใน 1 เดือน พร้อมมอบเขตสำรวจทั่วพื้นที่ หลังพบปัญหาการติดตั้งล่าช้า โดยเฉพาะพื้นที่เอกชน เปิดช่องทางสายด่วน 1555 ให้ประชาชนร่วมร้องเรียนปัญหาไฟฟ้าแสงสว่างเพิ่มเติม นอกเหนือจากการร้องเรียนผ่านสำนักงานเขต
(28 ก.พ. 54) ณ ห้องสุทัศน์ กทม. : เวลา 11.30 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานครว่า กรุงเทพมหานครได้เร่งดำเนินการติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายประชาวิวัฒน์ของรัฐบาล ที่มุ่งลดปัญหาอาชญากรรมให้ได้อย่างน้อย 10% โดยให้ดำเนินการปรับสภาพแวดล้อม พื้นที่เสี่ยง จุดล่อแหลม ต้องติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างเป็นการเร่งด่วน โดยในขณะนี้ทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานครมีการติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างไปแล้ว จำนวน 230,000 ดวง ทั้งถนนสายหลักสายรอง และถนนเชื่อมโครงข่ายจราจร ประมาณ 1,000 สาย แบ่งเป็นสำนักการโยธา ดูแลในส่วนถนนตรอก ซอย ริมคลอง และสำนักงานเขตดูแลพื้นที่สาธารณะอื่นๆ
ทั้งนี้ที่ประชุมมอบให้ปลัดกรุงเทพมหานครพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ ภายใน 1 เดือน และให้ทุกสำนักงานเขตสำรวจการติดตั้งในทุกตรอกซอยว่าได้มีการติดตั้งไปแล้วหรือไม่อย่างไร กรณียังไม่มีการติดตั้ง หากเป็นที่สาธารณะให้ดำเนินการติดตั้งและรายงานปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาต่อไป รวมทั้งมอบสำนักงานกฎหมายและคดี พิจารณาดำเนินการในเรื่องของข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะในที่ดินเอกชน หลังพบปัญหาบางพื้นที่ไม่ได้รับการติดตั้งตามที่ประชาชนร้องขอ หรือมีความล่าช้า เนื่องจากเป็นพื้นที่เอกชน หรือหมู่บ้านจัดสรรที่เจ้าของโครงการไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และเจ้าของทิ้งร้างโครงการ ทำให้กรุงเทพมหานครไม่สามารถเข้าไปติดตั้งได้
ทั้งนี้กรุงเทพมหานครจะเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถร้องเรียนปัญหาเรื่องการติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างผ่านทางสายด่วนกรุงเทพมหานคร 1555 หรือทางสำนักงานเขตเพื่อให้สำนักงานเขตรวบรวม และดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กทม. จับมือนิด้า เปิดตัวโฆษณารณรงค์ “โตไปไม่โกง” ตอกย้ำเด็กไทยร่วมพลังต้านคอร์รัปชั่น

กทม. จับมือนิด้า เปิดตัวโฆษณาสร้างค่านิยม “โตไปไม่โกง” ทั้งในรูปแบบภาพยนตร์โฆษณา สปอตวิทยุ หนังสือพิมพ์และสื่อกลางแจ้ง เพื่อตอกย้ำเยาวชนไทยให้มีจิตสำนึกและค่านิยมที่ดีงามในการต่อต้านคอร์รัปชั่น พร้อมกระตุ้นผู้ปกครองให้เห็นความสำคัญในการสอนลูกหลาน
(26 ก.พ. 54) เวลา 13.30 น. : ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดกิจกรรมรวมพลัง “White Thumb - โตไปไม่โกง” ครั้งที่ 5 พร้อมแถลงความคืบหน้าและเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาของโครงการฯ ณ ค่ายลูกเสือกรุงเทพมหานคร (พิศลยบุตร) เขตดอนเมือง โดยมี นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสำนักการศึกษา กทม. และผู้แทนจากนิด้า องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมกิจกรรม
กรุงเทพมหานคร ร่วมกับศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย จัดทำหลักสูตร “โตไปไม่โกง” เพื่อสอนนักเรียนระดับอนุบาล - ป.3 ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เป็นการปลูกฝังค่านิยมและจิตสำนักที่ดีงามในการยึดมั่นความซื่อสัตย์และต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยมีเนื้อหามุ่งเน้นการสอนให้เด็กยึดมั่นในค่านิยม 5 ประการ ประกอบด้วย ความซื่อสัตย์สุจริต การมีจิตสาธารณะ ความเป็นธรรมทางสังคม กระทำอย่างรับผิดชอบ และเป็นอยู่อย่างพอเพียง
สำหรับภาพยนตร์โฆษณามีทั้งหมด 4 เรื่อง ประกอบด้วย ยักษ์กินเมือง ย่อยยาก กินใต้โต๊ะ และยักษ์ ซึ่งเริ่มออกอากาศแล้วตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ.54 ที่ผ่านมา ในส่วนของสปอตวิทยุมีทั้งหมด 3 ชุด ได้แก่ ตุ๊กแก เรื่องของเด็ก และโรงเรียนกวดวิชา นอกจากนี้ยังมีโฆษณาเผยแพร่ผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อกลางแจ้งซึ่งมีทั้งป้ายบิลบอร์ด ป้ายไตรวิชั่น ป้ายบริเวณตอม่อ และป้ายบริเวณศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทาง เพื่อตอกย้ำค่านิยมและจิตสำนึกที่ดีงามในการต่อต้านการคอร์รัปชั่นอย่างต่อเนื่องและเผยแพร่สู่วงกว้างโดยเฉพาะพ่อแม่และผู้ปกครอง
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัจจุบันกรุงเทพมหานครได้นำหลักสูตร “โตไปไม่โกง” มาใช้ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 280 แห่ง โดยเป็นการสอนผ่านเพลง นิทาน เกม ละคร เพื่อความสนุกสนาน เรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นการท่องจำ ซึ่งมีเพลงสำหรับเด็กอนุบาล 29 เพลง นิทานมากกว่า 50 เรื่อง เรียนสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง รวม 40 ครั้งต่อปีการศึกษา และได้มีการอบรมครูผู้สอนในสังกัดกรุงเทพมหานครจำนวน 1,440 คน รวมทั้งอบรมการใช้หลักสูตรให้แก่ผู้อำนวยการโรงเรียน ครูผู้สอน และศึกษานิเทศก์ จากโรงเรียนเป้าหมาย 1,000 คน รวมทั้งจัดกิจกรรมรวมพลัง White Thumb ซึ่งเป็นกิจกรรมเสริมนอกห้องเรียน เพื่อสื่อสารกับโรงเรียน ผู้ปกครอง และสังคมให้รับทราบเกี่ยวกับหลักสูตร เพื่อหล่อหลอมให้เยาวชนของชาติมีคุณภาพ และมีเจตคติในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ซึ่งจะมีผลต่อการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นของประเทศไทยในระยะยาวอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครได้วางแผนที่จะขยายการเรียนการสอนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครให้ครบทั้ง 436 แห่ง ภายในเดือนเมษายน 2554 และจะขยายไปยังนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 รวมทั้งระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาด้วย
ทั้งนี้ หากครูหรือสถานศึกษาที่สนใจนำหลักสูตรไปปรับใช้กับสถานศึกษาของตน สามารถดาวน์โหลดบทเรียน เพลง รวมถึงข้อมูลต่างๆ ได้ทางเว็บไซต์ www.growinggood.org พร้อมติดตามความเคลื่อนไหวและพูดคุยได้ที่ www.facebook.com/GrowingGood และที่ http://twiiter.com/growinggood

ระดมความเห็นการจัดรูปที่ดินส่งเสริมกรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่

สำนักผังเมือง กทม. จัดสัมมนาระดมความเห็นประชาชน ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดรูปที่ดิน 9 บริเวณ พร้อมชี้ประโยชน์ที่จะได้รับจากความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชน และกรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่
(25 ก.พ. 54) เวลา 09.00 น. : นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดการสัมมนาระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินตามแผนแม่บท และพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร โดยการระดมความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่และผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ข้าราชการกรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ประธานสภาเขต ข้าราชการ หน่วยงาน เจ้าของที่ดินหรือผู้แทน และผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 350 คน ณ โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์ เขตปทุมวัน
สำนักผังเมือง กทม. จัดการสัมมนาระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินตามแผนแม่บท และพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร โดยการนำเสนอประโยชน์ของการจัดทำร่างแผนแม่บทและพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินฯ ของภาครัฐและภาคเอกชน อีกทั้งขอบเขตและศักยภาพในการจัดรูปที่ดินของพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินฯ 9 บริเวณ ประกอบด้วย ศูนย์ชุมชนสะพานใหม่และพื้นที่ต่อเนื่อง ศูนย์ชุมชนหนองจอก ศูนย์ชุมชนมีนบุรี ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ศูนย์ชุมชนชานเมืองลาดกระบัง ศูนย์คมนาคมมักกะสัน ศูนย์ชุมชนลาดกระบัง (หัวตะเข้) ศูนย์ชุมชนบางขุนเทียน และศูนย์ชุมชนบางนา-ศรีนครินทร์ รวมไปถึงการรับฟังสภาพปัญหาของชุมชน ตลอดจนความเป็นไปได้ในการนำวิธีการจัดรูปที่ดินมาใช้ในการพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับเข้าใจในเรื่องประโยชน์ของการจัดทำแผนแม่บทและพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดิน การจัดรูปที่ดินต่อประชาชนส่วนรวมและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนา การใช้ที่ดินโดยรอบสถานีรถไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้การจัดรูปที่ดิน เป็นการดำเนินการพัฒนาที่ดินหลายแปลง โดยการวางผังจัดรูปที่ดินใหม่ ปรับปรุงหรือจัดโครงสร้างพื้นฐาน และการร่วมรับภาระและกระจายผลตอบแทนอย่างเป็นรูปธรรม โดยความร่วมมือระหว่างเอกชนกับเอกชน หรือเอกชนกับรัฐตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. 2547 ได้แก่ กรมโยธาธิการและผังเมือง การเคหะแห่งชาติ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดิน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เหมาะสมยิ่งขึ้น ทั้งในด้านคมนาคม เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชน ให้สอดคล้องกับการผังเมือง เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมโดยรวมในชุมชนให้ดีขึ้น ช่วยแก้ไขปัญหาพื้นที่ว่างเปล่าและไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือพื้นที่ตาบอดให้ได้รับการพัฒนา อีกทั้งส่งเสริมให้มูลค่าที่ดินภายหลัง การจัดรูปที่ดินสูงขึ้นกว่าเดิม มีระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่สมบูรณ์ ประหยัดงบประมาณในการจัดเตรียมบริการพื้นฐานเพราะการจัดรูปที่ดินลงทุนน้อยกว่าการเวนคืน และทำให้เกิดการใช้ที่ดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องตามหลักผังเมืองและชุมชนน่าอยู่
ในช่วงบ่ายผู้เข้าร่วมสัมมนา ได้ร่วมกันระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินของกรุงเทพมหานคร ซึ่งสำนักผังเมืองจะรวบรวม ความคิดเห็นพร้อมแผนแม่บทฯ เสนอคณะกรรมการกลั่นกรองแผนแม่บทและพื้นที่เป้าหมายฯ เพื่อพิจารณากลั่นกรองแผนแม่บทฯ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานต่อไป

ผสานแนวร่วมควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกรุงเทพฯ

ผสานแนวร่วมควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกรุงเทพฯ
กทม. จับมือเครือข่าย เดินหน้าจัดทำแผนบูรณาการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กรุงเทพมหานคร แก้ปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ ป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ สร้างแรงจูงใจให้เยาวชนและประชาชน ลด ละ เลิก ดื่มแอลกอฮอล์
(28 ก.พ. 54) ณ ห้องราชา 1 โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ มหานาค : พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดการประชุมโครงการจัดทำแผนบูรณาการการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ของกรุงเทพมหานครที่ปฏิบัติงานด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ผู้เข้าร่วมประชุมมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในมุมมองของนักวิชาการ โดยมีข้าราชการกรุงเทพมหานครจากสำนักการแพทย์ สำนักอนามัย สำนักเทศกิจ สำนักพัฒนาสังคม สำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว สำนักงานเขต และผู้แทนหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวม 155 คน เข้าร่วมประชุม สำหรับกิจกรรมการประชุม ประกอบด้วย การบรรยาย อภิปราย และแลกเปลี่ยนความรู้ เนื้อหาเรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในมุมมองของนักวิชาการด้านกฎหมาย สังคม การแพทย์และสาธารณสุข สถานการณ์ปัญหาสุราในประเทศไทย แผนยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ และแผนบูรณาการการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กรุงเทพมหานคร โดยวิทยากรจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรมสุขภาพจิต สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา และมูลนิธิเพื่อนหญิง
พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กรุงเทพมหานครให้ความสำคัญและตระหนักถึงปัญหามาโดยตลอด มีการดำเนินการด้านต่างๆ ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2553 อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้จำนวนนักดื่มลดลงมากที่สุด และเป็นรูปธรรม รวมถึงมีการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาให้ปลอดจากแหล่งอบายมุข ส่งเสริมมาตรการควบคุมการเข้าถึงแหล่งอบายมุขหรือสถานที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จัดสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้เยาวชนตระหนักถึงปัญหายาเสพติดและอบายมุขตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพคนเมืองกรุงเทพมหานคร 2553 – 2556 เพื่อให้กรุงเทพมหานครก้าวสู่เป้าหมายการเป็นเมืองที่ปลอดภัย ทั้งนี้ การร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน มูลนิธิ เครือข่ายประชาชน และเยาวชน จะเป็นกำลังสำคัญในการควบคุมและแก้ไขปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลสำเร็จและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและสังคมต่อไป

กทม. จับมือนิด้า เปิดตัวโฆษณารณรงค์ “โตไปไม่โกง” ตอกย้ำเด็กไทยร่วมพลังต้านคอร์รัปชั่น

กทม. จับมือนิด้า เปิดตัวโฆษณารณรงค์ “โตไปไม่โกง” ตอกย้ำเด็กไทยร่วมพลังต้านคอร์รัปชั่น
กทม. จับมือนิด้า เปิดตัวโฆษณาสร้างค่านิยม “โตไปไม่โกง” ทั้งในรูปแบบภาพยนตร์โฆษณา สปอตวิทยุ หนังสือพิมพ์และสื่อกลางแจ้ง เพื่อตอกย้ำเยาวชนไทยให้มีจิตสำนึกและค่านิยมที่ดีงามในการต่อต้านคอร์รัปชั่น พร้อมกระตุ้นผู้ปกครองให้เห็นความสำคัญในการสอนลูกหลาน
(26 ก.พ. 54) เวลา 13.30 น. : ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดกิจกรรมรวมพลัง “White Thumb - โตไปไม่โกง” ครั้งที่ 5 พร้อมแถลงความคืบหน้าและเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาของโครงการฯ ณ ค่ายลูกเสือกรุงเทพมหานคร (พิศลยบุตร) เขตดอนเมือง โดยมี นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสำนักการศึกษา กทม. และผู้แทนจากนิด้า องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมกิจกรรม
กรุงเทพมหานคร ร่วมกับศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย จัดทำหลักสูตร “โตไปไม่โกง” เพื่อสอนนักเรียนระดับอนุบาล - ป.3 ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เป็นการปลูกฝังค่านิยมและจิตสำนักที่ดีงามในการยึดมั่นความซื่อสัตย์และต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยมีเนื้อหามุ่งเน้นการสอนให้เด็กยึดมั่นในค่านิยม 5 ประการ ประกอบด้วย ความซื่อสัตย์สุจริต การมีจิตสาธารณะ ความเป็นธรรมทางสังคม กระทำอย่างรับผิดชอบ และเป็นอยู่อย่างพอเพียง
สำหรับภาพยนตร์โฆษณามีทั้งหมด 4 เรื่อง ประกอบด้วย ยักษ์กินเมือง ย่อยยาก กินใต้โต๊ะ และยักษ์ ซึ่งเริ่มออกอากาศแล้วตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ.54 ที่ผ่านมา ในส่วนของสปอตวิทยุมีทั้งหมด 3 ชุด ได้แก่ ตุ๊กแก เรื่องของเด็ก และโรงเรียนกวดวิชา นอกจากนี้ยังมีโฆษณาเผยแพร่ผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อกลางแจ้งซึ่งมีทั้งป้ายบิลบอร์ด ป้ายไตรวิชั่น ป้ายบริเวณตอม่อ และป้ายบริเวณศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทาง เพื่อตอกย้ำค่านิยมและจิตสำนึกที่ดีงามในการต่อต้านการคอร์รัปชั่นอย่างต่อเนื่องและเผยแพร่สู่วงกว้างโดยเฉพาะพ่อแม่และผู้ปกครอง
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัจจุบันกรุงเทพมหานครได้นำหลักสูตร “โตไปไม่โกง” มาใช้ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 280 แห่ง โดยเป็นการสอนผ่านเพลง นิทาน เกม ละคร เพื่อความสนุกสนาน เรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นการท่องจำ ซึ่งมีเพลงสำหรับเด็กอนุบาล 29 เพลง นิทานมากกว่า 50 เรื่อง เรียนสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง รวม 40 ครั้งต่อปีการศึกษา และได้มีการอบรมครูผู้สอนในสังกัดกรุงเทพมหานครจำนวน 1,440 คน รวมทั้งอบรมการใช้หลักสูตรให้แก่ผู้อำนวยการโรงเรียน ครูผู้สอน และศึกษานิเทศก์ จากโรงเรียนเป้าหมาย 1,000 คน รวมทั้งจัดกิจกรรมรวมพลัง White Thumb ซึ่งเป็นกิจกรรมเสริมนอกห้องเรียน เพื่อสื่อสารกับโรงเรียน ผู้ปกครอง และสังคมให้รับทราบเกี่ยวกับหลักสูตร เพื่อหล่อหลอมให้เยาวชนของชาติมีคุณภาพ และมีเจตคติในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ซึ่งจะมีผลต่อการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นของประเทศไทยในระยะยาวอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครได้วางแผนที่จะขยายการเรียนการสอนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครให้ครบทั้ง 436 แห่ง ภายในเดือนเมษายน 2554 และจะขยายไปยังนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 รวมทั้งระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาด้วย
ทั้งนี้ หากครูหรือสถานศึกษาที่สนใจนำหลักสูตรไปปรับใช้กับสถานศึกษาของตน สามารถดาวน์โหลดบทเรียน เพลง รวมถึงข้อมูลต่างๆ ได้ทางเว็บไซต์ www.growinggood.org พร้อมติดตามความเคลื่อนไหวและพูดคุยได้ที่ www.facebook.com/GrowingGood และที่ http://twiiter.com/growinggood

กำหนดการกรุงเทพมหานครวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

09.00 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดงานโครงการสัมมนาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานครณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 11 โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ
09.00 น. พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมโครงการจัดทำแผนบูรณาการการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกรุงเทพมหานคร ณ ห้องราชา 1 ชั้น 11 โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ
10.00 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร
11.30 น. แถลงผลการประชุม ณ ห้องสุทัศน์ ชั้น 2 กทม.

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กำหนดการกรุงเทพมหานครวันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

09.30 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันโบวลิ่งการกุศล
ณ บลูโอ ริทัม แอนด์ โบว์ล สยามพารากอน ชั้น 5
18.00 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดงาน “ดนตรีในสวนปีที่ 18 สมัยกาลดนตรีไทย”ณ ศาลาภิรมย์ภักดี บริเวณสวนปาล์ม สวนลุมพินี เขตปทุมวัน

กำหนดการกรุงเทพมหานครวันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

07.00 น. นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานงาน “โครงการปวงข้าพระพุทธเจ้ารู้รักสามัคคี รักชาติ ศาสน์กษัตริย์ และประชาชน ณ สมาคมมิตรภาพบางแค ถ.พุทธมณฑลสาย 1 เขตภาษีเจริญ
10.00 น. นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการสัญจรกลุ่มกรุงเทพกลาง (ด้านการศึกษา)ณ โรงเรียนสามเสนนอก เขตดินแดง
10.30 น. ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดกิจกรรมเพื่อคนรักสัตว์ “We love Pets” ครั้งที่ 1 ณ เจ เจ มอลล์ จตุจักร
13.30 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดงาน และร่วมงาน White Thumb Family Day “โตไปไม่โกง” ครั้งที่ 5 ณ บริเวณตึกอำนวยการ 1 ค่ายลูกเสือ กทม. (พิศลยบุตร) เขตดอนเมือง

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประธานสภากทม. ร่วมเปิดงาน “ปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ ประกันสังคมไทยเข้มแข็ง”

(23 ก.พ. 54) เวลา 10.00 น. : สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดีรังสิต : นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร ประธานสภากรุงเทพมหานคร และนายไสว โชติกะสุภา สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตราษฎร์บูรณะ ร่วมในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ ประกันสังคมไทยเข้มแข็ง “การสร้างระบบความคุ้มครองและหลักประกันทางสังคมให้กับแรงงานนอกระบบ” ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี และมีผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานต่างๆ รวมกว่า 2,000 คน เช่น สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ขับรถแท็กซี่-สามล้อ กทม. สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ชมรมผู้ค้าหาบเร่ แผงลอย ศูนย์ประสานงานเครือข่ายแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย เครือข่ายแรงงานนอกระบบในกทม. กลุ่มประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ และผู้นำชุมชน 50 เขตของกทม.
สำนักงานประกันสังคมจัดประชุมปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ ประกันสังคมไทยเข้มแข็ง “การสร้างระบบความคุ้มครองและหลักประกันทางสังคมให้กับแรงงานนอกระบบ” เพื่อให้แรงงานนอกระบบและประชาชน ได้รับทราบข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขยายความคุ้มครองประกันสังคมให้แรงงานนอกระบบ ตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ภายใต้แผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทยครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยและด้อยโอกาสทั่วประเทศของรัฐบาล เพื่อให้แรงงานนอกระบบได้รับความคุ้มครอง โดยมีสิทธิประโยชน์ 2 ทางเลือก ประกอบด้วย ทางเลือกที่ 1 จ่ายเงินสมทบ 100 บาท (ประชาชนจ่าย 70 บาท รัฐบาลอุดหนุน 30 บาท) ได้รับสิทธิประโยชน์ 3 กรณี คือ เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพและกรณีเสียชีวิต ทางเลือกที่ 2 จ่ายเงินสมทบ 150 บาท (ประชาชนจ่าย 100 บาท รัฐบาลอุดหนุน 50 บาท) ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับทางเลือกที่ 1 และเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีบำเหน็จชราภาพอีก 1 กรณี ทั้งนี้ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบตามทางเลือกที่ 2 สามารถจ่ายเงินสมทบกรณีบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้นได้ไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท
ทั้งนี้ในการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ให้จ่ายเป็นรายเดือนๆ ละ 1 ครั้ง และ จ่ายเงินสมทบล่วงหน้าได้ครั้งละไม่เกิน 12 เดือน แต่ไม่สามารถจ่ายเงินสมทบย้อนหลังได้ โดยสามารถสมัครและขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 54 ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา ที่ท่านสะดวก หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียด โทร.1506 ตลอด 24 ชั่วโมง

โรงพยาบาลรัชดา-ท่าพระ เปิดบริการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลกรณีไตวาย

น.ส.รสสุคนธ์ แสงอ่อน รองผู้อำนวยการสำนักการคลัง กทม. แจ้งว่า ขณะนี้มีสถานพยาบาลของเอกชนเข้าร่วมโครงการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลทดแทนไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังด้วยวิธีไตเทียม กรณีการส่งต่อผู้ป่วยกับกรุงเทพมหานครเพิ่มเติมอีกหนึ่งแห่ง คือ โรงพยาบาลรัชดา-ท่าพระ กรุงเทพฯ โดยเริ่มใช้บริการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สำหรับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่เข้ารับการรักษาพยาบาลทดแทนไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังด้วยวิธีไตเทียมในสถานพยาบาลเอกชนที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการเบิกจ่ายตรงกับกรุงเทพมหานคร ให้เบิกจ่ายในอัตราเหมาจ่ายที่รวมค่าอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรคตามประเภท อัตราค่าอวัยวะเทียม และอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรคตามที่กระทรวงการคลังกำหนด จำนวน 2,000 บาทต่อครั้ง โดยแนบใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลทดแทนไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังด้วยวิธีไตเทียมของสถานพยาบาลที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบเบิกจ่ายตรง และหนังสือส่งตัวผู้ป่วยรักษาต่อเนื่องกรณีรักษาทดแทนไตเพื่อประกอบการเบิกจ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กทม. โทร. 0 2224 0486

ส่งผลงานประกวดสัญลักษณ์นำโชค ฟุตซอลชิงแชมป์โลกปี 55 ตั้งแต่บัดนี้ – 28 ก.พ. 54

นายยิ่งศักดิ์ เผ่าอินจันทร์ ผู้อำนวยการกองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม. แจ้งว่า ตามที่ประเทศไทยได้รับเกียรติจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก พ.ศ. 2555 (FIFA FUTSAL WORLD CUP 2012) ระหว่างวันที่ 2-18 พ.ย. 54 กรุงเทพมหานครในฐานะเมืองเจ้าภาพมีความประสงค์ที่จะดำเนินการจัดการประกวดออกแบบสัญลักษณ์นำโชค (Mascot) และสัญลักษณ์เมืองเจ้าภาพ (Host city) สำหรับใช้ในการจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก พ.ศ. 2555 โดยมีรายละเอียดการประกวดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ประเภทสัญลักษณ์นำโชค (Mascot) มีรูปทรง สีสัน สวยงาม มีขนาดที่ชัดเจนเหมาะสม สอดคล้องกับการจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก ผู้ชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัล 75,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 45,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 22,500 บาท และรางวัลชมเชย เงินรางวัล 7,500 บาท และ 2. ประเภทสัญลักษณ์เมืองเจ้าภาพ (Host city) มีสีสัน รูปแบบที่เหมาะสม สวยงาม และสื่อความหมายของกรุงเทพมหานครในการเป็นเมืองเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 50,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 25,000 บาท และรางวัลชมเชย เงินรางวัล 10,000 บาท
ผู้สนใจให้ส่งผลงานเป็นไฟล์ PDF ลงแผ่น DVD จำนวน 6 แผ่น และเป็นเอกสารชิ้นงาน 4 สี ขนาด 13x19 นิ้ว จำนวน 6 แผ่น ต่อ 1 ประเภทการประกวด โดยลงชื่อ นามสกุล พร้อมที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ ด้านหลังชิ้นงานโดยละเอียดถูกต้องและชัดเจน ใส่ซองเอกสารปิดผนึกเรียบร้อย พร้อมรับเอกสารตอบรับการส่งชิ้นงานจากเจ้าหน้าที่ กำหนดรับผลงานตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 28 ก.พ. 54 ในวันและเวลาราชการ หรือส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนมาที่ ศูนย์ปฏิบัติงานโครงการเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา อาคารกีฬาเวสน์ 3 กองการกีฬา ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400 สอบถามเพิ่มเติมโทร. 0 2245 2951

สผม. จัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินฯ

น.ส.อัญชลี ปัทมาสวรรค์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กทม. แจ้งว่า สำนักผังเมืองจะดำเนินการจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินตามแผนแม่บทและพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 25 ก.พ. 54 เวลา 08.30-13.30 น. ณ ห้องบอลรูม ชั้น 4 โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์ ถ.พระราม 6 แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน โดย นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้เกียรติเป็นประธานในการเปิดการสัมมนา และมีผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย ข้าราชการกรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ประธานสภาเขต ข้าราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เจ้าของที่ดินหรือผู้แทน และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง จำนวน 315 คน เพื่อนำเสนอประโยชน์ของการจัดทำร่างแผนแม่บทและพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินฯ ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน นำเสนอขอบเขตและศักยภาพในการจัดรูปที่ดินของพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินฯ ทั้ง 9 บริเวณ นำเสนอบทบาทของกลุ่มเป้าหมายในการผลักดันให้พื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินฯ เป็นรูปธรรม พร้อมทั้งรับฟังสภาพปัญหาของชุมชน ความเป็นไปได้ในการนำวิธีการจัดรูปที่ดินมาใช้ในการพัฒนาพื้นที่ ตลอดจนรวบรวมข้อคิดเห็นจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการกลั่นกรองในลำดับต่อไป
ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กล่าวเพิ่มเติมว่า การสัมมนาในครั้งนี้ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับความรู้ ความเข้าใจในเรื่องประโยชน์ของการจัดทำแผนแม่บทและพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดิน การพัฒนาให้เป็นไปตามผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครด้วยวิธีการจัดรูปที่ดิน การจัดรูปที่ดินต่อประชาชนส่วนรวมและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนาการใช้ที่ดินโดยรอบสถานีรถไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้เข้าร่วมอภิปรายประกอบด้วย ดร.นพนันท์ ตาปนานนท์ นายอิสระ บุญยัง และนายชัยสิทธิ์ คุรุรัตน์ ภายหลังการอภิปรายดังกล่าว ผู้เข้าร่วมสัมมนา จะร่วมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับพื้นที่เป้าหมายการจัดรูปที่ดินของกรุงเทพมหานคร ซึ่งสำนักผังเมืองจะรวบรวมความคิดเห็นพร้อมแผนแม่บทฯ เสนอคณะกรรมการกลั่นกรองแผนแม่บทและพื้นที่เป้าหมายฯ เพื่อพิจารณากลั่นกรองแผนแม่บทฯ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานกรรมการต่อไป

กทม. เปิดรับสมัครเยาวชนร่วมกิจกรรมปิดเทอมเติมประสบการณ์ ประจำปี 2554

นายสมศักดิ์ จันทวัฒนา ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม. แจ้งว่า กรุงเทพมหานครจัดกิจกรรม “ปิดเทอมเติมประสบการณ์ ประจำปี 2554” ขึ้นในศูนย์เยาวชน ศูนย์กีฬา และห้องสมุดประชาชนสังกัดกรุงเทพมหานครทุกแห่ง ระหว่างวันที่ 1 มี.ค. – 13 พ.ค. 54 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนได้ใช้เวลาว่างในการเพิ่มพูนประสบการณ์ความรู้ ทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ และการแสดงออกในทางที่ถูกต้องเหมาะสม อีกทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองในช่วงปิดภาคเรียน โดยจัดกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย กิจกรรมด้านการกีฬา นันทนาการ นาฏศิลป์ ศิลปะ คหกรรม ดนตรี ลีลาศ พัฒนาบุคลิกภาพ กิจกรรมส่งเสริมการอ่านและกิจกรรมพิเศษ ได้แก่ ค่ายพักแรม ทัศนศึกษา
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กิจกรรมปิดเทอมเติมประสบการณ์จะช่วยลดปัญหาการมั่วสุม พฤติกรรมไม่เหมาะสม และปัญหายาเสพติดได้ โดยคาดว่าเด็กจะสามารถนำความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ใหม่ๆ ไปใช้ในการพัฒนาตนเองได้เป็นอย่างดี และเป็นอนาคตที่ดีของชาติต่อไป สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ตังแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 เม.ย. 54 และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) โทร 0 2245 4713 ต่อ 32-3 หรือที่ www.bangkok.go.th/thai-japan

ร่วมสัมผัสรสชาติและศิลปะอาหารนานาชาติตลอดเดือน มี.ค. 54

กทม. จัดเทศกาลอาหารนานาชาติ พร้อมสร้างชื่อให้อาหารไทยเป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยว และยกระดับคุณภาพอาหารไทยสู่ครัวโลก โดยสถานทูต โรงแรมชั้นนำ และร้านอาหารดังนำเชฟมือทองโชว์สุดยอดอาหาร เชิญชิม ช็อป และชมกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ในวันที่ 2-6 มี.ค. 16-20 มี.ค. และ 30 มี.ค. - 3 เม.ย. 54
(21 ก.พ. 54) นายทวีศักดิ์ เดชเดโช รองปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการแถลงข่าวงานเทศกาลอาหารนานาชาติ : Bangkok international Food Fair 2011 ครั้งที่ 1 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เขตปทุมวัน เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ต่างประเทศ กลุ่มครอบครัว นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ร่วมสัมผัสกับรสชาติและศิลปะแห่งอาหารไทย รวมถึงอาหารและ เครื่องดื่มจากนานาชาติ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานคร กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน และธุรกิจด้านอาหารให้ขยายตัวยิ่งขึ้น
สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม. จัดงานเทศกาลอาหารนานาชาติ ครั้งที่ 1 ระหว่างเดือน มี.ค. - เม.ย. 54 ภายใต้แนวคิด “BKK International Food Fair : All time with Rich in Happiness” หรือ “ช่วงเวลาแห่งความสุข กับความอิ่มอร่อยหลากรูปแบบของครัวไทยสู่ครัวโลก” โดยกำหนดจัดงานจำนวน 3 ครั้ง ในวันที่ 2-6 มี.ค. 54 ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน วันที่ 16-20 มี.ค. 54 ณ อุทยานเบญจสิริ และในวันที่ 30 มี.ค. – 3 เม.ย. 54 ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่เวลา 15.00 – 21.00 น. ซึ่งภายในงานได้รวบรวมสุดยอดอาหารและเครื่องดื่มนานาชาติจากสถานทูต โรงแรมชั้นนำ และร้านอาหารชื่อดังในย่านต่างๆ ของกรุงเทพฯ พร้อมทั้งชมนิทรรศการตำนานอาหารไทย และอาหารนานาชาติ รวมถึงประวัติของเชฟชื่อดังจากทุกทวีปทั่วโลก การนำเสนออาหารยอดนิยมจากแต่ละประเทศให้ผู้เข้าชมงานได้รู้จัก การประกวดและแข่งขันหลากหลายรูปแบบจากเชฟระดับมือทอง รวมถึงการค้นหาเชฟรุ่นใหม่ โดยแบ่งการแข่งขันเป็น เชฟจากร้านต่างๆ นักเรียนและนักศึกษาจากสถาบันอาหาร ตลอดจนกิจกรรมบันเทิง เช่น การแสดงหุ่นคน กู่เจิ้ง การแสดงจากประเทศเกาหลี ระบำจากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว โทร. 0 2257613-5 ต่อ 208-209 หรือ โทร. 0 26235525

เดินหน้าอบรมครูพี่เลี้ยง หวังขยายผลหลักสูตร “โตไปไม่โกง”

(23 ก.พ. 54) เวลา 09.00 น. : นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมอบรมในพิธีเปิดโครงการเสริมทักษะแผนการเรียนการสอนและฝึกอบรมทักษะครูพี่เลี้ยงหลักสูตร “โตไปไม่โกง” โดยมี นายประยงค์ ปรียาจิตต์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กระทรวงยุติธรรม และ รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ ประธานศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ร่วมด้วย ณ ห้องประชุมจีระบุญมาก อาคารสยามบรมราชกุมารี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

กรุงเทพมหานคร ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม NIDA จัดโครงการเสริมทักษะแผนการเรียนการสอนและฝึกอบรมทักษะครูพี่เลี้ยงหลักสูตร “โตไปไม่โกง” ขึ้น เพื่ออบรมครูพี่เลี้ยงเด็กให้มีความรู้ ความเข้าใจในหลักสูตรโตไปไม่โกง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนได้ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร “คบเด็กสร้างชาติ โตไปไม่โกง” ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมุ่งเน้นการปลูกฝังแนวคิด 5 ด้าน ได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต การมีจิตสาธารณะ ความเป็นธรรมทางสังคม การทำอย่างรับผิดชอบ และการเป็นอยู่อย่างพอเพียง เน้นการเรียนรู้ที่ไม่ใช่การท่องจำ ผ่านกิจกรรมและสื่อการเรียนการสอน อาทิ เพลง นิทาน เกม และละคร เพื่อให้เด็กสามารถซึมซับและร่วมป้องกันสิ่งไม่ดีและการคอร์รัปชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในช่วงต้นของโครงการ กรุงเทพมหานครได้นำหลักสูตรโตไปไม่โกงมาใช้ในการเรียนการสอนเฉพาะเด็กระดับชั้นอนุบาล-ประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ในปีการศึกษาหน้าจะขยายไปถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และระดับ ชั้นมัธยมศึกษาต่อไป ซึ่งการปลูกฝังจิตสาธารณะจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็ก และสามารถทำได้จนถึงเด็กระดับที่โตขึ้น เนื่องจากเด็กเหล่านี้เมื่อเติบโตแล้วจะเป็นกำลังที่สำคัญของประเทศชาติต่อไปในอนาคต และการเริ่มต้นที่ดี จะเป็นการกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และมีส่วนร่วมในการป้องกันปัญหาในระยะยาวต่อไป ซึ่งครูหรือสถานศึกษาที่สนใจนำหลักสูตรไปปรับใช้กับสถานศึกษาของตน สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.growinggood.org

กทม. เปิดตัวโครงข่าย “ซูเปอร์สกายวอล์ค” ทางเดินลอยฟ้าของคนกรุง

ผู้ว่าฯกทม. เปิดตัวโครงข่าย “ซูเปอร์สกายวอล์ค” ทางเดินลอยฟ้าระยะทาง 50 กม. ให้คนกรุงเทพฯ เดินทางได้สะดวกขึ้น และลดการใช้รถส่วนตัว พร้อมก่อสร้าง มี.ค. 54 ลั่น 16 กม.แรก ย่านถนนสุขุมวิท พญาไท รามคำแหง และวงเวียนใหญ่ เสร็จภายใน 18 เดือน นับเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ จะมีโครงข่ายทางเดินลอยฟ้าสำหรับประชาชนอย่างบูรณาการ เป็นประโยชน์ในวงกว้างอย่างยั่งยืน
(23 ก.พ. 54) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานแถลงข่าว “โครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์ค” (SuperSkywalk System) หรือ “ทางเดินลอยฟ้า” โดยมีดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และสื่อมวลชน ร่วมงาน ณ ห้อง Ballroom 2 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล

16 กม.แรก ย่านถนนสุขุมวิท พญาไท รามคำแหง และวงเวียนใหญ่ เสร็จภายใน 18 เดือน
โครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์ค ถือเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ “กรุงเทพฯ ก้าวหน้า” มุ่งแก้ปัญหาใหญ่ของกรุงเทพฯ อย่างยั่งยืน จะแบ่งการก่อสร้างเป็น 2 เฟส ซึ่งเฟสแรกมีระยะทางรวม 16 กม. โดยจุดที่ 1 ระยะทางประมาณ 12 กม. ตลอดแนวถนนสุขุมวิทจากซอยนานาไปสิ้นสุดที่ซอยแบริ่ง จุดที่ 2 ระยะทางประมาณ 3 กม. ตามแนวถนนพญาไท จุดที่ 3 ระยะทางประมาณ 1.3 กม. ตามแนวถนนรามคำแหง และจุดที่ 4 ระยะทางประมาณ 0.5 กม. บริเวณวงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี โดยเริ่มก่อสร้างในเดือน มี.ค. 54 และจะแล้วเสร็จภายใน 18 เดือน ส่วนเฟสที่2 ระยะทางประมาณ 32 กม. มีแผนจะก่อสร้างในปี 2555-2557 ครอบคลุมพื้นที่ย่านถนนราชดำริ สีลม สาทร เพชรบุรี รามคำแหง ทองหล่อ เอกมัย พหลโยธิน กรุงธนบุรี และบางหว้า โดยหลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งโครงการจะทำให้คนกรุงเทพฯมีทางเดินลอยฟ้าเป็นระยะทางรวม 50 กม. จากโครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์คเดิม ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันความยาวประมาณ 1.5 กม. ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

คืนทางเท้าให้คนกรุงเทพฯ เชื่อมต่อจุดหมาย เดินทางได้สะดวก ลดการใช้รถส่วนตัว
โครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์คจะช่วยให้คนกรุงเทพฯ มีทางเดินลอยฟ้าที่ปราศจากสิ่งกีดขวาง มีพื้นที่ในการเดินเท้ามากขึ้น ทำให้สามารถเดินไปยังจุดหมายปลายทางใกล้ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย และรวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นการเชื่อมต่อจุดต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างบูรณาการ และเป็นประโยชน์ในวงกว้างอย่างยั่งยืน นอกจากนี้โครงสร้างของโครงข่ายยังได้ออกแบบให้รองรับกับระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ รวมถึงระบบขนส่งรถไฟฟ้า โดยเมื่อออกจากรถไฟฟ้าแล้ว สามารถเดินเท้าต่อไปยังจุดหมายปลายทางได้สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องกลัวแดดและฝน เพื่อให้การเดินเท้าเป็นทางเลือกแทนการขับรถ สำหรับการเดินทางระยะสั้นๆ นอกจากนี้ยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนเดินเท้าในเวลากลางคืน ด้วยไฟฟ้าส่องสว่างและกล้องวงจรปิดตรวจจับความเคลื่อนไหวตลอดแนวเส้นทางโครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์ค

โครงสร้างซูเปอร์สกายวอล์ค ใช้เก็บท่อร้อยสายไฟ
สำหรับงบประมาณการก่อสร้างโครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์คในเฟสแรกประมาณ 5,200 ล้านบาท ส่วนเฟสที่สองของโครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์ค จะก่อสร้างในปี 2555-2557 และคาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ตัวโครงสร้างของซูเปอร์สกายวอล์ค ได้ถูกออกแบบเพื่อให้สามารถใช้เป็นที่เก็บท่อร้อยสายไฟได้ด้วย โดยในอนาคตสามารถจะย้ายสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์มาเก็บซ่อนไว้ที่โครงของซูเปอร์สกายวอล์คได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้ไม่มีสายไฟเกะกะสายตาตามถนนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ทัศนียภาพของกรุงเทพฯ สวยงามน่าอยู่ยิ่งขึ้นได้

สภา กทม. เตรียมขยายความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องกับฮ่องกง

นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร ประธานสภากรุงเทพมหานคร นำคณะสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการเกี่ยวกับการขยายความสัมพันธ์สภาบ้านพี่เมืองน้องระหว่างสภากรุงเทพมหานครกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง กับนายจิตติ สุวรรณิก กงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 54 ณ โรงแรมคอนราด เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเบื้องต้นได้หารือถึงแนวทางและความเป็นไปได้ในการลงนาม MOU สถาปนาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรและความร่วมมือระหว่างสภากรุงเทพมหานครกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ขยายความสัมพันธ์ตามโครงการสภาบ้านพี่เมืองน้อง เพื่อนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างกันด้านต่างๆ ในอนาคต อาทิ ด้านการท่องเที่ยว การศึกษา การเมืองการปกครอง และเศรษฐกิจ
ประธานสภากรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร และฮ่องกงเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและมีความใกล้ชิดกันมาช้านาน มีประชาชนเดินทางท่องเที่ยวไปมาระหว่างกันสม่ำเสมอ ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางมาพักผ่อนและจับจ่ายสินค้าที่ฮ่องกงเป็นประจำ ส่วนชาวฮ่องกงก็เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยเป็นจำนวนมากเช่นกัน จึงเห็นพ้องกันว่าเป็นสิ่งที่ดีหากมีการสถาปนาความสัมพันธ์สภาบ้านพี่เมืองน้องระหว่างสภากรุงเทพมหานครกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ซึ่งสภากรุงเทพมหานครจะเร่งดำเนินการประสานความร่วมมือมายังเขตบริหารพิเศษฮ่องกงให้มีการลงนาม MOU ร่วมกันโดยเร็ว โดยคาดว่าจะเริ่มต้นความร่วมมือกันในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและด้านการศึกษาให้มีการแลกเปลี่ยนครูอาจารย์ โดยการส่งครูจากเมืองไทยไปสอนภาษาไทยที่ฮ่องกง เนื่องจากชาวฮ่องกงนิยมมาเที่ยวเมืองไทยปีละเป็นจำนวนมาก และยังสนใจเรียนภาษาไทยอีกด้วย นอกจากนี้มีแรงงานไทย และนักธุรกิจที่เดินทางไปทำงานและประกอบกิจการที่ฮ่องกง ซึ่งมีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมายประมาณ 15,000 คน สามารถนำเงินเข้าสู่ประเทศไทยเฉลี่ยปีละกว่าร้อยล้านบาท ดังนั้น หากทั้งสองเมืองได้สถาปนาเป็นบ้านพี่เมืองน้องอย่างเป็นทางการแล้ว เชื่อว่าประโยชน์ต่างๆ จะตกอยู่กับประชาชนของทั้งสองเมืองอย่างแน่นอน
กงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง กล่าวว่า ชาวฮ่องกงมีความชื่นชอบในประเทศไทยเป็นอย่างมากทั้งวัฒนธรรม อาหาร สถานที่พักผ่อน สปา โดยเฉพาะด้านการบริการ อีกทั้งการเดินทางไปมาระหว่างกันใช้ระยะเวลาสั้น สะดวก รวดเร็ว จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ชาวฮ่องกงนิยมมาเที่ยวเมืองไทย เฉลี่ย 400,000 คนต่อปี แต่เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบของบ้านเมืองทำให้ปี 2553 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงลดลงเป็นจำนวนมาก ซึ่งทุกปีสถานกงสุลไทยประจำเขตบริหารพิเศษฮ่องกงจะจัดกิจกรรมเพื่อดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยว เช่น ในปีนี้มีการจัดงานผลไม้ไทยเป็นกิจกรรมนำร่อง ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ มีชาวฮ่องกงไปเที่ยวไทยมากขึ้น นอกจากนี้ในวันที่ 7 – 8 มี.ค. นี้ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของฮ่องกงจะเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการถือเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ประเทศไทยอีกทางหนึ่ง

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กทม. ระดมสมองหาแนวทางบูรณาการกล้อง CCTV

(22 ก.พ. 54) ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมงานสัมมนาระดมสมองครั้งที่ 3 เรื่อง “แนวทางและมาตรการในการบูรณาการระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อความปลอดภัยของบ้านเมือง” โดยมีนายประสิทธิ์ โพธสุธน ประธานคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา เป็นประธานเปิดการสัมมนา และผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขต ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ผู้แทนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้านครหลวง และองค์การภาคเอกชนและภาคประชาชน ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานคร ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา ได้จัดการสัมมนาการบริหารจัดการและการบูรณาการระบบ CCTV ครั้งที่ 3 เพื่อพิจารณาแนวทาง มาตรการ ตลอดจนแผนการดำเนินงาน ติดตามความคืบหน้าและการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายและผลการดำเนินงานโดยภาพรวมในเดือน มี.ค. 54 เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดสรรงบประมาณ ทันต่อการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ลดความสูญเสียต่อสังคมและเศรษฐกิจ อันจะส่งผลต่อความสงบสุขของสังคมและบ้านเมืองโดยรวม เพื่อให้กรุงเทพมหานครเป็นมหานครที่ปลอดภัยน่าอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้จากผลสรุปการสัมมนาระดมสมองครั้งที่ 1 เรื่อง “ระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ช่วยลดอาชญากรรมได้อย่างไร” ได้มีข้อสรุปและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความคืบหน้าโครงการติดตั้งกล้อง CCTV ของกรุงเทพมหานคร จำนวน 20,000 ตัว ให้ดำเนินการแล้วเสร็จก่อนกำหนดในปี 2554 โดยร่วมมือกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดคือ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (TOT) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (CAT) ร่วมกันผลักดันให้โครงการติดตั้ง CCTV เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีปัจจัยเกื้อหนุน ได้แก่เครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานรัฐ ตลอดจนอุปกรณ์และบุคลากรที่ดำเนินการได้ทันที ต่อเนื่องมาถึงการสัมมนาครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 54 เรื่อง “การบริหารจัดการระบบ CCTV เชิงบูรณาการเพื่อป้องกันและลดอาชญากรรม” มีข้อสรุปและข้อเสนอแนะ ในการพัฒนากล้อง CCTV สำหรับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม รวมทั้งการสืบสวน สอบสวน ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการทำคดี ตลอดจนพัฒนาระบบ CCTVให้มีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนกระจัดกระจายในการดำเนินงาน โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบอย่างชัดเจน เช่น บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีความพร้อมทั้งด้านโครงข่าย เทคโนโลยี บุคลากร ที่จะใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

ชวนร่วมวันต้อหินโลก 5 มี.ค. นี้ ที่สวนลุมพินี

กทม. จับมือชมรมต้อหินแห่งประเทศไทย จัดงานรวมพลังระวังต้อหิน เนื่องในวันต้อหินโลก พร้อมทั้งจัดสัปดาห์ต้อหินโลกระหว่าง 28 ก.พ. – 5 มี.ค. 54 ในศูนย์บริการสาธารณสุขและโรงพยาบาลทุกแห่งในสังกัดกทม. กระตุ้นเตือนคนไทยใส่ใจดูแลรักษาดวงตาถูกวิธีหลีกหนีโรคต้อหิน ป้องกันตาบอด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอายุ 40 ขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ
(22 ก.พ. 54) พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน “รวมพลังระวังต้อหิน เนื่องในวันต้อหินโลก ปี 2554” โดยมี รศ.นพ.ปริญญ์ โรจน์พงศ์พันธุ์ ประธานชมรมต้อหินแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกทม. (เสาชิงช้า) ซึ่งกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ ชมรมต้อหินแห่งประเทศไทย กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 5 มี.ค. 54 ตั้งแต่เวลา 06.00-12.00 น. ณ อาคารลุมพินีสถาน สวนลุมพินี กิจกรรมในงาน ประกอบด้วย การเดินรณรงค์ “รวมพลังระวังต้อหิน” การตรวจสุขภาพตา การเสวนาหัวข้อ “รู้ลึก รู้จริงเรื่องต้อหิน” ชมนิทรรศการความรู้เรื่องต้อหิน และกิจกรรมตอบปัญหากับดารานักแสดง เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้คนไทยเกิดความตระหนัก เห็นความสำคัญในการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกวิธี
พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ กล่าวว่า โรคต้อหินเป็นสาเหตุทำให้ตาบอดชนิดถาวรที่พบบ่อยเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย ซึ่งมีรายงานอุบัติการณ์ของโรคประมาณ 2.5-3.8% หรือคิดเป็นจำนวนผู้ป่วย 1.7–2.4 ล้านคน โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลศิริราช ได้สำรวจชุมชนของกรุงเทพมหานคร พบว่า ในกลุ่มประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เป็นต้อหินสูงถึง ร้อยละ 3.8 และเพิ่มเป็นร้อยละ 6.1 ในกลุ่มประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนี้ ผู้ป่วย 9 ใน 10 คนจะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่จะสังเกตได้เมื่อเกิดอาการขั้นรุนแรง ซึ่งอาจทำให้ตามัวหรือมองไม่เห็นได้
สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงของโรคต้อหิน ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีสายตาสั้นมาก ผู้ที่เคยผ่าตัดหรือได้รับอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา และผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน ดังนั้นทุกคนควรรับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองโรคต้อหินทุก 1–2 ปี ผู้ที่มีอายุ 60 ปี ควรตรวจตาเป็นประจำทุก 1 ปี หากตรวจพบเร็วจะสามารถรักษาไม่ให้ตาบอดได้
ทั้งนี้ศูนย์บริการสาธารณสุข 68 แห่ง และโรงพยาบาล 9 แห่ง ในสังกัดกทม. กำหนดจัดกิจกรรมสัปดาห์ต้อหินโลก ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. - 5 มี.ค. 54 ให้ความรู้เรื่องโรคต้อหินและการป้องกันเพื่อกระตุ้นเตือนให้คนไทยใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพดวงตา ป้องกันการสูญเสียการมองเห็นในระยะยาว

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

บนต.กทม. รุ่น 12 เสนอดึงเกษตรกรร่วมพัฒนาที่ดินเพิ่มสีเขียวให้กรุงเทพฯ

บนต.กทม. รุ่น 12 เสนอดึงเกษตรกรร่วมพัฒนาที่ดินเพิ่มสีเขียวให้กรุงเทพฯ

นบต.กทม.รุ่น 12 ชี้ผลการศึกษาเพิ่มพื้นที่สีเขียวกรุงเทพฯ ดึงเกษตรกรมีส่วนร่วมพัฒนาที่ดินและผลผลิต โดยภาครัฐสนับสนุนแก้ปัญหาน้ำเสีย ศัตรูพืช บังคับใช้กฎหมายจริงจัง และพัฒนาผลผลิตให้อาชีพเกษตรกรมั่นคง มีเกียรติ มีรายได้ พร้อมสร้างผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดในวงกว้าง และสร้างจิตสำนึกลูกหลานสืบทอดอาชีพ หวังให้อาชีพเกษตรกรรมยั่งยืนเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กรุงเทพฯ

(16 ก.พ. 54) เวลา 09.00 น. : โรงแรมเวียงใต้ เขตพระนคร : นายโกสิน เทศวงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษา กทม. ในฐานะหัวหน้าคณะศึกษาดูงานหลักสูตรผู้บริหารมหานครระดับต้น รุ่นที่ 12 พร้อมด้วย นายหรรษารมย์ โกมุทผล ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาข้าราชการกทม. นายจรูญ มีธนาถาวร ผู้อำนวยการเขตจอมทอง นางเพียงเพ็ญ สุขหมื่น ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาการบริหาร สถาบันพัฒนาข้าราชการกทม. ผู้แทนจากสำนักสิ่งแวดล้อม ผู้แทนสำนักพัฒนาสังคม และนายสุเทพ ธัญญสิทธิ์ วิทยากรที่ปรึกษาฯ ร่วมเป็นคณะวิทยากรในการรับฟังรายงานผลการศึกษา เรื่อง การมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการสร้างพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษาพื้นที่เขตจอมทอง ซึ่งเป็นการนำเสนอผลการศึกษาเชิงวิชาการตามหลักสูตรก่อนสำเร็จการศึกษาของผู้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรผู้บริหารมหานครระดับต้น (บนต.กทม.) รุ่นที่ 12 ประจำปีงบประมาณ 2554 โดยการประมวลความรู้ วิเคราะห์แนวทางการศึกษา และกรณีศึกษาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และแผนบริหารราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแนวทางและประโยชน์ต่อการพัฒนากรุงเทพมหานครในอนาคต

พัฒนาศักยภาพพื้นที่เกษตร สร้างสมดุลคนกับสิ่งแวดล้อม

ผู้เข้ารับการฝึกอบรมผู้บริหารมหานครระดับต้น รุ่นที่ 12 ได้นำเสนอผลการศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการสร้างพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษาพื้นที่เขตจอมทอง เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญของพื้นที่เกษตรกรรมซึ่งเป็น 1 ใน 9 ประเภทของพื้นที่สีเขียวตามแผนแม่บทพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพมหานคร ที่มีศักยภาพในการเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ชุมชน ลดอุณหภูมิความร้อนของสภาพอากาศ ช่วยรักษาความสมดุลของสิ่งแวดล้อม เป็นแหล่งรับน้ำที่สำคัญของชุมชน ทำให้ทัศนียภาพสวยงาม ร่มรื่น อีกทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ขณะเดียวกันพื้นที่เขตจอมทอง ยังเป็น 1 ใน 26 เขตเกษตรกรรมของกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่การเกษตรมากกว่า 2,000 ไร่ มีเกษตรกร จำนวน 378 ราย และมีผลไม้ขึ้นชื่ออย่าง “ส้มบางมด” รวมถึงสวนผัก และไม้ดอกไม้ประดับ อีกทั้งยังมีพื้นที่เกษตรกรรมรกร้างมากถึง 407 ไร่ ซึ่งสามารถพัฒนาศักยภาพในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม ตามยุทธศาสตร์การพัฒนากรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ชี้ปัญหาพื้นที่เกษตรเขตจอมทอง พร้อมวอนภาครัฐเร่งช่วยเหลือ

จากการศึกษากลุ่มเกษตรกรพื้นที่เขตจอมทองจำนวน 163 ราย จากจำนวนทั้งสิ้น 378 ราย พบว่าพื้นที่เกษตรกรรมประสบปัญหาหลักในเรื่องน้ำเน่าเสีย พื้นที่ถูกปิดล้อมจากหมู่บ้านจัดสรรและการถมที่คูคลอง ศัตรูพืชและโรคพืช รวมถึงปัจจัยที่ใช้ในการผลิตมีราคาสูงขึ้น ซึ่งต้องการให้กทม. สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือในการส่งเสริมให้ความรู้ด้านวิชาการเกษตร การจัดการคุณภาพน้ำให้เหมาะกับการทำเกษตรกรรม เพิ่มมาตรการใช้กฎหมายผังเมือง รวมถึงคุ้มครองพื้นที่ทำการเกษตรต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวจากกระบวนการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งนี้กลุ่มเกษตรกรมีความพร้อมในการพัฒนาพื้นที่เกษตร เนื่องจากมีการรวมกลุ่มกันค่อนข้างเข้มแข็ง ตลอดจนมีศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรในพื้นที่ถึง 2 ศูนย์ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลการพัฒนาผลผลิตและผลิตภัณฑ์แปรรูป มีการประชุมคณะกรรมการฯ ต่อเนื่องทุกเดือน ซึ่งได้ร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ที่จะเข้าร่วมกับกรุงเทพมหานครในการดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ โครงการพัฒนาเพิ่มที่เกษตรกรรม โครงการเกษตรผสมผสานและเกษตรพอเพียง โครงการเกษตรปลอดสารพิษ โครงการเกษตรชีวภาพ โครงการพัฒนาเกษตรเพื่อศูนย์การเรียนรู้และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รวมถึงโครงการอื่นๆ เช่น ลอกคูคลอง เป็นต้น เพื่อพัฒนาให้เป็นพื้นที่สีเขียวต่อไป

สร้างความมั่นคงอาชีพเกษตรกรรม สร้างสำนึกคนรุ่นหลังสืบทอดอาชีพ

ด้านคณะวิทยากรได้เสนอแนะแนวคิดเพิ่มเติมว่า ปัญหาพื้นที่สีเขียวไม่เพียงแต่ใช้มาตรการทางกฎหมายในการบังคับใช้ แต่รวมถึงการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกให้คนรุ่นหลังตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และเพิ่มพื้นที่สีเขียว อีกทั้งส่งเสริมให้อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่มีเกียรติและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเพื่อสืบทอดอาชีพและดำรงไว้ซึ่งพื้นที่เกษตรกรรม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเดินหน้าโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น อีกทั้งสร้างผลผลิตและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ให้มีมูลค่ามากขึ้น สร้างชื่อผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และสร้างตลาดเพื่อรองรับสินค้า เพื่อสร้างรายได้และความมั่นคงในชีวิตให้แก่เกษตรกรและคนรุ่นหลังสนใจทำการเกษตรมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้พื้นที่สีเขียวเพิ่มตามไปด้วย ที่สำคัญเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว จะเป็นจริงได้ จะต้องจัดกิจกรรมส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้อาชีพเกษตรกรของกรุงเทพมหานคร มีความเข้มแข็ง เป็นเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ภายใต้หลักเศรษฐกิจพอเพียง สามารถเลี้ยงคนกรุงเทพฯ และมุ่งสู่การเป็นครัวโลกในที่สุด

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เขตบางกอกน้อยจับมือทุกภาคส่วน ร่วมประกาศเจตนารมณ์โรงเรียนกทม.ปลอดยาเสพติด

เขตบางกอกน้อยจับมือทุกภาคส่วน ร่วมประกาศเจตนารมณ์โรงเรียนกทม.ปลอดยาเสพติด

บางกอกน้อยจับมือหน่วยงานในพื้นที่ เดินหน้าแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง นำร่องโครงการโรงเรียนกทม.ปลอดยาเสพติด พร้อมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังในทุกองค์กร เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกด้านอย่างแท้จริง

(17 ก.พ. 54) เวลา 09.00น. : นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิดงานโรงเรียนกรุงเทพมหานคร เขตบางกอกน้อย ปลอดยาเสพติด ณ โรงเรียนวัดมะลิ ซ.จรัญสนิทวงศ์ 37 เขตบางกอกน้อย โดยมีพ.ต.อ.สวัสดิ์ จำปาศรี ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ผู้อำนวยการเขตบางกอกน้อย ผู้อำนวยการเขตกลุ่มกรุงธนเหนือ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลบางกอกน้อย บางขุนนนท์ และบางยี่ขัน ผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครเขตบางกอกน้อย 15 โรงเรียน ผู้แทนหน่วยงาน ปปส.กทม. หน่วยงาน สสส. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา สาขาปิ่นเกล้า บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศรีวิชัย โรงพยาบาลเจ้าพระยา ศูนย์บริการสาธารณสุข 30 (วัดเจ้าอาม) ประธานกรรมการชุมชน 43 ชุมชน เครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินเขตบางกอกน้อย และนักเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครเขตบางกอกน้อย ร่วมงาน พร้อมทั้งร่วมกันประกาศเจตนารมณ์เป็นพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน

กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดภายใต้ปฏิบัติการประเทศไทยเข้มแข็งเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน ด้วยยุทธศาสตร์ 5 รั้วป้องกันระยะที่ 3 ของรัฐบาล โดยกำหนดมาตรการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการการเร่งรัดระดับพื้นที่ 3 เดือน ระหว่างเดือน ม.ค. - มี.ค. 54 ซึ่งคณะกรรมการ ศตส.เขตบางกอกน้อย ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอด ได้ดำเนินการตามนโยบายของกรุงเทพมหานครในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ โดยร่วมกับสถานีตำรวจนครบาลบางกอกน้อย บางขุนนนท์ และบางยี่ขัน ออกตรวจเยี่ยมชุมชนเป้าหมาย 25 ชุมชน และพื้นที่ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของยาเสพติด เช่น ร้านเกมส์ อินเตอร์เน็ต สถานประกอบการ สถานบันเทิง และพื้นที่สาธารณะ นอกจากนี้ได้จัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เน้นกิจกรรมที่ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งได้กำหนดโครงการรวมไว้ 4 รั้วป้องกัน ประกอบด้วย ด้านรั้วโรงเรียน ได้แก่ โครงการโรงเรียนกรุงเทพมหานคร เขตบางกอกน้อย ปลอดยาเสพติด ด้านรั้วสังคม ได้แก่ โครงการสถานประกอบการสีขาว ด้านรั้วชุมชน ได้แก่ โครงการเวทีประชาคมค้นหาผู้เสพยาผู้ติดยาเสพติด และด้านรั้วครอบครัว ได้แก่ โครงการครอบครัวกีฬาต้านยาเสพติด

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กิจกรรมโครงการโรงเรียนกรุงเทพมหานคร เขตบางกอกน้อย ปลอดยาเสพติด นับเป็นโครงการแรกที่จะเป็นการจุดประกายความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในพื้นที่ เป็นการรณรงค์ป้องกันกลุ่มเสี่ยงและผู้มีโอกาสไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เช่น เด็กและเยาวชน ชุมชน โรงเรียน สถานประกอบการ พร้อมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดในทุกองค์กร สร้างการมีส่วนร่วมให้ประชาชนในชุมชน ตลอดจนค้นหาผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด นำเข้าสู่การบำบัดรักษาด้วยวิธีสมัครใจในสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกรุงเทพมหานคร โครงการนี้เป็นกิจกรรมที่ดีในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกด้านอย่างจริงจัง พร้อมทั้งได้รับความร่วมมือและการเข้ามามีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในพื้นที่เป็นอย่างดี อันจะทำให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดสัมฤทธิผลอย่างแท้จริงต่อไป

กทม. เห็นชอบขยายจุดผ่อนผันเพิ่มเติม 280 จุด

กทม. เห็นชอบขยายจุดผ่อนผันเพิ่มเติม 280 จุด

เดินหน้าจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยสอดคล้องโครงการประชาวิวัฒน์ อนุมัติเพิ่มเติมจุดผ่อนผัน 280 จุด ให้ผู้ค้า 7,356 ราย พร้อมนำระบบสารสนเทศมาใช้จัดเก็บฐานข้อมูล และเตรียมเสนอรัฐอุดหนุดงบเพิ่มเติม จัดสวัสดิการเบี้ยประกันภัยให้แก่แรงงานนอกระบบเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

(17 ก.พ. 54) เวลา 12.30 น. ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับความคืบหน้าการจัดระเบียบจุดผ่อนผันให้แก่ผู้ค้าว่า คณะกรรมการได้เห็นชอบในหลักการอนุมัติจุดผ่อนผันเพิ่มเติมอีก 280 จุด จำนวนผู้ค้า 7,356 ราย ซึ่งเกินเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ คือ 200 จุด และผู้ค้าจำนวน 5,000 ราย แต่อย่างไรก็ตามต้องมีการปรับลดจำนวนจุดและรายที่ไม่เป็นไปตามประกาศกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 48 ใน 5 จุดกวดขันพิเศษ ได้แก่ ทางขึ้นลงสะพานลอย ศาลาที่พักผู้โดยสาร ตู้โทรศัพท์ ไปรษณีย์ ห้องสุขา และทางข้าม ทางแยก รวมทั้งทางเข้าออกอาคารบ้านเรือนของประชาชน โดยให้กำหนดเกณฑ์การกำหนดบทลงโทษกรณีฝ่าฝืน เช่น การเตือน การห้ามขายชั่วคราวและการห้ามขายถาวรด้วย

เสนอ บชน. กำหนดระยะเวลาจุดผ่อนผันคราวละ 2 ปี

หลังจากนี้กทม. จะได้เสนอจุดผ่อนผันซึ่งที่ประชุมให้ความเห็นชอบไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อพิจารณาต่อไป โดยกทม. ได้เสนอกำหนดระยะเวลาในการผ่อนผันไว้ 2 ปี แต่การพิจารณาระยะเวลาและจุดเป็นอำนาจของ บชน. ซึ่งในที่ประชุมผู้แทนของ บชน. ได้แสดงความเห็นว่าควรอนุญาตปีต่อปี เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องจากผู้ค้ามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อ บชน. อนุมัติแล้ว สำนักเทศกิจจะแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่รับผิดชอบต่อไป อาทิ สำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ในฐานะผู้ประสานงานโครงการประชาวิวัฒน์ร่วมกับรัฐบาล ให้จัดทำระบบสารสนเทศรองรับการออกบัตรผู้ค้า และผู้ช่วยผู้ค้า สำนักงานเขตให้เตรียมการขึ้นทะเบียน การออกบัตรและการอบรมผู้ค้า และสำนักการจราจรและขนส่งให้ดำเนินการขีดสีตีเส้นและจัดทำป้ายแสดงเขตและประกาศอื่นๆ นอกจากนี้ให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มเติมจุดที่เป็นเสน่ห์ของเมือง ถนนคนเดิน โดยอาจจัดเฉพาะวันอาทิตย์ และดูแลเรื่องระบบการจราจรเพื่อให้การจัดระเบียบเมืองมีความคืบหน้ามากขึ้นด้วย

นำโครงการมอเตอร์ไซค์ยิ้มมาเป็นต้นแบบเพิ่มสวัสดิการแรงงานนอกระบบ

นอกจากนี้กรุงเทพมหานครยังเตรียมโครงการสวัสดิการให้กับผู้ค้า และผู้ที่เป็นแรงงานนอกระบบ โดยใช้โครงการมอเตอร์ไซค์ยิ้มเป็นโครงการต้นแบบ ให้ผู้ค้าสามารถเลือกชำระเบี้ยประกันได้ 2 แบบ แบบที่ 1 ชำระ 100 บาทต่อเดือน จะได้รับเงินชดเชยในกรณีพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลวันละ 200 บาท แต่ไม่เกิน 20 วันต่อปี แบบที่ 2 ชำระ150 บาทต่อเดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพด้วย โดยกทม. จะได้เสนอให้รัฐบาลจัดงบประมาณอุดหนุนโครงการดังกล่าว แบ่งเป็น 70 : 30 สำหรับแบบที่ 1 โดยประชาชนจะจ่ายเพียง 70 บาท และรัฐสนับสนุน 30 บาท และแบบ 100 : 50 สำหรับแบบที่ 2 โดยประชาชนจ่าย 100 บาท รัฐสนับสนุน 50 บาท

ยินดีหากรัฐบาลและท้องถิ่นอื่นนำโครงการนำร่องของกทม.ไปขยายผลช่วยเหลือประชาชน

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สำหรับจุดผ่อนผันที่ผ่านการพิจารณาจากบชน.คาดว่าจะสามารถประกาศได้กลางเดือน มี.ค. ซึ่งจะทำให้ผู้ค้าในกทม. 7,356 ราย จากทั้งหมดกว่า 20,000 ราย ได้ประกอบอาชีพที่สุจริตและได้รับสวัสดิการเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเมื่อดำเนินการไปตามขั้นตอนแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องต้องเข้มงวดเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการที่กทม. และรัฐบาลสนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน จะทำให้สามารถช่วยเหลือคนไทยได้มากยิ่งขึ้น โดยกทม. แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้กทม. จะมีพื้นที่เล็กแต่ก็สามารถดำเนินโครงการต่างๆ ได้ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ทั้งโครงการมอเตอร์ไซค์ยิ้ม ที่รัฐบาลนำไปขยายผลให้ครอบคลุมจังหวัดอื่นๆ โครงการบ้านยิ้มสำหรับข้าราชการกทม. ซึ่งเตรียมเดินหน้าสู่ภาคประชาชน ทั้งนี้หากรัฐบาลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นต้องการนำโครงการนำร่องของกทม.ไปปฏิบัติก็จะสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนมากขึ้น

เปิดอาคารศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนหมู่บ้านพลับพลา

เปิดอาคารศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนหมู่บ้านพลับพลา

กทม. เปิดอาคารศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนหมู่บ้านพลับพลา เขตวังทองหลาง หลังอาคารเดิมชำรุดเสียหาย หวังยกระดับมาตรฐานการเรียนการสอนเด็กก่อนวัยเรียนในชุมชน ให้มีพัฒนาการที่เหมาะสมและมีความพร้อมก่อนเข้าสู่การศึกษาในระบบโรงเรียน

(17 ก.พ. 54) ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานพิธีเปิดอาคารศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนหมู่บ้านพลับพลา ณ ชุมชนหมู่บ้านพลับพลา ซอยรามคำแหง 21 (นวศรี) เขตวังทองหลาง โดยมีนางนินนาท ชลิตานนท์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายบำรุง รัตนะ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร นายประเสริฐ อินทุโสมา ผู้อำนวยการเขตวังทองหลาง และประชาชนในชุมชนหมู่บ้านพลับพลา ร่วมในพิธี

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า หวังว่าการดำเนินการปรับปรุงอาคารศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนหมู่บ้านพลับพลาในครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการยกระดับมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในชุมชนให้เป็นไปตามมาตรฐานของกรุงเทพมหานคร และบรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมบริการทางสังคมแก่เด็กก่อนวัยเรียนในชุมชน ให้ได้รับการพัฒนาที่เหมาะสมตามวัยและมีความพร้อมที่จะก้าวไปสู่การศึกษาในระบบโรงเรียนต่อไป

สำหรับการก่อตั้งและดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนหมู่บ้านพลับพลาแห่งนี้ ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากหลายฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้นำชุมชน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ ซึ่งได้ริ่เริ่มปรับปรุงและพัฒนามาโดยลำดับทั้งในด้านการบริหารจัดการ การพัฒนาด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม ด้านอาคารสถานที่ให้มีความมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัย และเอื้ออำนวยต่อบรรยากาศในการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในแต่ละวัยและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ปกครองที่นำบุตรหลานมาอยู่ในความดูแลของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนแห่งนี้ โดยกรุงเทพมหานครให้การสนับสนุนด้านค่าตอบแทนอาสาสมัคร ค่าวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอน ค่าอาหารกลางวันและอาหารเสริมสำหรับเด็ก และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ยินยอมให้ใช้ที่ดินบริเวณปัจจุบัน ขนาด 90.25 ตารางวา ในการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนฯ ขึ้นใหม่ทดแทนอาคารเรียนเดิมที่ชำรุดเสียหาย ใช้งบประมาณจากกรุงเทพมหานครในการก่อสร้าง จำนวน 3,416,000 บาท โดยจะเริ่มเปิดทำการเรียนการสอนในวันที่ 21 ก.พ. 54 เป็นต้นไป

กทม. เข้มหน่วยงานดูแลปัญหามลพิษ ความสะอาด และความปลอดภัยในพื้นที่

กทม. เข้มหน่วยงานดูแลปัญหามลพิษ ความสะอาด และความปลอดภัยในพื้นที่

ผู้ว่าฯกทม. สั่งการหัวหน้าหน่วยงานดูแลปัญหามลพิษอากาศและเสียง หลังกรมควบคุมมลพิษตรวจพบค่ามลพิษบนถนนหลายสายเกินมาตรฐาน ขณะเดียวกันให้เร่งจัดเก็บป้ายผิดกฎหมายที่สาธารณะทุกประเภทหากฝ่าฝืนบังคับใช้กฎหมายดำเนินคดี พร้อมทั้งดูแลความปลอดภัยในพื้นที่เคร่งครัดช่วงที่มีการชุมนุมของมวลชน

(17 ก.พ. 54) ที่ห้องรัตนโกสินทร์ กทม. เวลา 14.00 น. : ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร โดยแจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงสถานการณ์ปัญหามลพิษทางอากาศและเสียง ในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งกรมควบคุมมลพิษตรวจสอบพบว่า ขณะนี้มลพิษทางอากาศและเสียงในเขตกรุงเทพมหานครเกินค่ามาตรฐานกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณแยกดินแดง แยกลาดพร้าว แยกโชคชัย 4 และแยกโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากมีการจราจรหนาแน่น ส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษจากฝุ่นควันและเสียงเพิ่มขึ้น ทั้งนี้กทม. กรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ปัญหามลพิษทางอากาศและเสียง ปี 2554-2559 เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของรัฐบาลต่อไป อย่างไรก็ตามขอให้สำนักงานเขต และสำนักที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานคร เพื่อควบคุมปัญหามลพิษทางอากาศและเสียงในพื้นที่กรุงเทพฯ ให้เข้าเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

นอกจากนี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้สั่งการให้สำนักงานเขตเร่งจัดเก็บป้ายผิดกฎหมายในที่สาธารณะทุกประเภททั่วกรุงเทพฯ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง เนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีการฝ่าฝืนติดตั้งป้ายโดยไม่ได้ขออนุญาต และไม่เสียภาษีป้ายตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนป้ายที่ติดตั้งในพื้นที่เอกชนหากเข้าข่ายผิดกฎหมายให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที พร้อมทั้งมอบหมายให้ผู้อำนวยการเขตจัดเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัยในพื้นที่ ตลอดจนปฏิบัติตามแผนการป้องกันและดูแลความปลอดภัยในช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่มมวลชนในพื้นที่อย่างเคร่งครัด

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จรดปากกากระชับสัมพันธ์สภาบ้านพี่เมืองน้องนครฉงชิ่ง









สภากทม. เดินหน้าขยายความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน จับมือสภาประชาชนนครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน สถาปนาสภาบ้านพี่เมืองน้อง เสริมสร้าง สนับสนุน การให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างกัน นำไปสู่การพัฒนาเมืองให้เจริญ ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
(16 ก.พ. 54) นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร ประธานสภากรุงเทพมหานคร และคณะสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เข้าเยี่ยมคารวะ นายเฉิน กวางกว๋อ ประธานสภาประชาชนนครฉงชิ่งแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมทั้งลงนาม MOU สถาปนาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรและความร่วมมือระหว่างสภากรุงเทพมหานครกับสภาประชาชนนครฉงชิ่ง ขยายความสัมพันธ์ตามโครงการสภาบ้านพี่เมืองน้อง ณ สำนักงานกองการต่างประเทศ นครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
สำหรับการลงนามดังกล่าวถือเป็นการเริ่มต้นของการกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน เพื่อนำไปสู่การเสริมสร้างความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มุมมอง วิสัยทัศน์ และแนวทางการพัฒนาเมืองในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อาทิ ด้านการค้า เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การเมืองการปกครอง การศึกษา สิ่งแวดล้อม รวมถึงการให้ความช่วยเหลือแก่กันและกันในการสร้างประโยชน์ต่อเมืองและประชาชนของเมืองทั้งสองให้เจริญ ก้าวหน้า มีความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งสภาทั้งสองเมืองจะดำเนินการภายใต้กรอบของกฎหมายและขอบข่ายที่สามารถดำเนินการได้ โดยสภากรุงเทพมหานคร และสภาประชาชนนครฉงชิ่ง จะให้การสนับสนุน และพัฒนาความสัมพันธ์ในเชิงภาคีแห่งมิตรภาพ เพื่อสร้างสรรค์ผลประโยชน์ซึ่งกันและกันให้มากที่สุด จะมีการเดินทางไปมาหาสู่กันอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนหน่วยงานของทั้งสองฝ่ายในเชิงแลกเปลี่ยนด้านต่างๆ ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน อีกทั้งจะประสานความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการ และองค์กรที่เกี่ยวข้องให้มีการศึกษาดูงาน สัมมนาร่วมกัน อีกทั้งประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลสภาบ้านพี่เมืองน้องให้เป็นที่รู้จักแก่เมืองอื่นๆ อย่างกว้างขวางต่อไป

โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โชว์ถ่ายทอดสดการผ่าตัดผ่านกล้องระดับประเทศ

นายแพทย์ประพาศน์ รัชตะสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร แจ้งว่า ศูนย์ผ่าตัดผ่านกล้องโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ จัดงานประชุมวิชาการผ่าตัดผ่านกล้องระดับประเทศ 1st Bangkok Annual Congress In Minimally Invasive Surgery 2011 (BMIS) ระหว่างวันที่ 16-17 ก.พ. 54 ที่ห้องประชุม ชั้น 10 อาคาร 72 พรรษา มหาราชินี โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ พร้อมโชว์ผ่าตัดผ่านกล้องถ่ายทอดสดครั้งแรกของกรุงเทพมหานคร โดยมีวิทยากรรับเชิญจากประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้นำด้านการผ่าตัดผ่านกล้องในกลุ่มเอเชียแปซิฟิก มีแพทย์และพยาบาลจากทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุมกว่า 200 คน ทั้งจากแผนกสูติ-นรีเวชกรรม ศัลยกรรม และศัลยกรรมกระดูก เพื่อเรียนรู้วิวัฒนาการใหม่ๆ ถ่ายทอดไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา และยกระดับให้เป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนในระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใน 3 ปี ข้างหน้า
ปัจจุบันการผ่าตัดผ่านกล้องนับเป็นการผ่าตัดที่มีข้อดี แผลมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยมีอาการเจ็บแผลน้อย และใช้เวลาฟื้นตัวไม่นาน สามารถผ่าตัดผ่านกล้องทั้งในด้านสูติ-นรีเวช เช่น การผ่าตัดเนื้องอกมดลูก รังไข่ ด้านศัลยกรรม เช่น การผ่าตัดลำไส้ ไส้ติ่ง ถุงน้ำดี และด้านศัลยกรรมกระดูก เช่น ผ่าตัดข้อเข่า หมอนรองกระดูก เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อศูนย์ประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โทร. 0 2289 7501 ต่อ 7502, 7202

สยป. พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผนในการจัดทำตัวชี้วัดด้านสังคม

นายมานิต เตชอภิโชค ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กทม. แจ้งว่า สำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล (สยป.) กำหนดจัดประชุมเชิงปฏิบัติการตามโครงการการพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผนในการจัดทำตัวชี้วัดด้านสังคม ระหว่างวันที่ 16-17 ก.พ. 54 ณ โรงแรมศุภาลัย ป่าสัก รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดสระบุรี ทั้งนี้เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจเรื่องการกำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายการพัฒนาด้านสังคมอย่างมีส่วนร่วม แก่เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผนและผู้เกี่ยวข้องจากหน่วยงานระดับสำนัก สำนักงานเขต และหน่วยงานการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร จำนวน 150 คน

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ชวนคนกรุงฟัง “ดนตรีในสวน ปีที่ 18 สมัยกาลดนตรีไทย” เริ่มอาทิตย์ที่ 20 ก.พ. นี้

กทม. ร่วมกับภาคเอกชนจัดการแสดง “ดนตรีในสวนปีที่ 18 สมัยกาลดนตรีไทย” ณ ศาลาภิรมย์ภักดี บริเวณสวนปาล์ม สวนลุมพินี ทุกวันอาทิตย์ 20 ก.พ. - 24 เม.ย. 54 เวลา 17.30-19.30 น. ประเดิมเวทีด้วยการบรรเลงเพลงไทยจากวง BSO ชมฟรีตลอดงาน
(15 ก.พ. 54) เวลา 10.30 น. : นายทวีศักดิ์ เดชเดโช รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร ประธานกองทุนศิลปวัฒนธรรม บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) นายแพทย์ไพศาล จันทรพิทักษ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ และนางวิมลา ไตรทศาวิทย์ ผู้จัดการสำนักงานบริหารงานกลาง บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมแถลงข่าวงาน “ดนตรีในสวนปีที่ 18 สมัยกาลดนตรีไทย” ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกทม. (เสาชิงช้า)

ชมฟรีดนตรีในสวนสร้างความสุขให้คนกรุงเทพฯ
กรุงเทพมหานคร ร่วมกับหนังสือพิมพ์มติชน ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ โดยการสนับสนุนของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ธนาคารกรุงเทพ บริษัท โอสถสภา จำกัด บริษัท สปา-ฮาคูโฮโด แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จัดการแสดง “ดนตรีในสวนปีที่18 สมัยกาลดนตรีไทย” ขึ้น ทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 20 ก.พ. - 24 เม.ย. 54 เวลา 17.30–19.30 น. ณ ศาลาภิรมย์ภักดี บริเวณสวนปาล์ม สวนลุมพินี เขตปทุมวัน โดยประชาชนสามารถชมความบันเทิงได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ประเดิมเวทีแรก 20 ก.พ. นี้ ด้วยวง BSO บรรเลงเพลงไทย
สำหรับวันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งเป็นการแสดงวันแรกและพิธีเปิด ผู้ชมจะได้พบกับการแสดงของวง BSO บรรเลงเพลงไทย ในส่วนของสัปดาห์ต่อไปจะเป็นการแสดงหลากหลายซึ่งจะหมุนเวียนไปจนสัปดาห์สุดท้าย อาทิ วงบอยไทย นิวเจนเนอเรชั่น สุรชัย จันทิมาธร (ศิลปินแห่งชาติ) วงคาราวาน เมธวัชร์ (เทวัญ) ทรัพย์แสนยากร พร้อมวง Tewan Novel Jazz วงดนตรีไทยกรุงเทพฯ และการแสดงชองศูนย์เยาวชนลุมพินี วงดนตรีลูกทุ่งกาสะลอง จาก มรภ.พระนคร วงดุริยางค์เยาวชนไทย วงดนตรีสากล พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ และการแสดงศิลปะพื้นบ้าน 4 ภาค และโขน สังกัด สวช. เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดตามรายการแสดงจากหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันศุกร์ หนังสือพิมพ์ข่าวสดฉบับวันเสาร์ และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจฉบับวันพฤหัสบดี และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่หนังสือพิมพ์มติชน โทร. 0 2589 0020 ต่อ 1702 หรือที่สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม. โทร. 0 2246 0301-3 หรือ http://www.matichon.co.th
นอกจากนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพ ยังให้การสนับสนุนโครงการ โดยนำรถพยาบาลเคลื่อนที่ให้บริการความรู้เรื่องสุขภาพ และตรวจสุขภาพขั้นพื้นฐานฟรีทุกวันที่มีการแสดง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณที่จัดแสดง


เปิดสวนสาธารณะเป็นที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว
รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การจัดแสดงดนตรีในสวนนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการบริการสังคมที่จะให้ความบันเทิง นอกจากประชาชนจะได้เข้าไปพักผ่อนและออกกำลังกายในสวนอันร่มรื่นแล้ว บุคคลในครอบครัวยังได้ชมดนตรีในรายการที่ตนเองชื่นชอบในบรรยากาศที่อบอุ่นของวันหยุดสุดสัปดาห์ได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด สำหรับประชาชนที่มากันเป็นครอบครัว สามารถนำอาหารและเครื่องดื่มง่ายๆ มานั่งกลางสนามหญ้าชมดนตรี โดยมีลูกหลานวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ เป็นการปลูกฝังให้เด็กมีจิตใจร่าเริงและชื่นชอบในดนตรี อันเป็นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งหลายปีมานี้ การแสดงดนตรีในสวนเริ่มเป็นที่นิยม จะเห็นได้ว่ามีการสัญจรไปแสดงในหลายๆ สวน ทั้งวันธรรมดา และวันเสาร์-อาทิตย์ ทั้งที่เป็นวงดนตรีของกรุงเทพมหานครเองหรือภาคเอกชนนำเข้าไปแสดง โดยจัดแสดงให้ชมฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกรุงเทพมหานครที่ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนใช้ประโยชน์สวนสาธารณะเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ การออกกำลังกาย ตลอดจนการแสดงออกทางด้านศิลปวัฒนธรรม นันทนาการ และอื่นๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น

ชมการแสดงทางวัฒนธรรมไทยหลากหลายรูปแบบ
นายพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา กรุงเทพมหานคร ร่วมกับหนังสือพิมพ์มติชน หนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ กองทุนศิลปวัฒนธรรม และหน่วยงานต่างๆ ได้จัดงาน “ดนตรีในสวน สมัยกาลดนตรีไทย” ติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับการต้อนรับและชื่นชมจากผู้ที่เข้าชมเป็นจำนวนมาก ในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน ได้รับเสียงเรียกร้องจากผู้ที่เคยเข้าชมงานเป็นจำนวนมาก ให้มีการจัดงานขึ้นอีกครั้ง ซึ่งทางคณะกรรมการผู้จัดงานได้เล็งเห็นความสำคัญของดนตรีไทยที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ อีกทั้งเป็นการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปะดนตรีไทยที่มีความไพเราะไม่แพ้ชาติใดในโลกให้ประจักษ์สายตาต่อผู้ชมที่เป็นคนไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้งเพื่อให้ความบันเทิงกับประชาชนที่เข้าไปพักผ่อนในสวนสาธารณะของกรุงเทพฯ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ และส่งเสริมให้ศิลปินได้มีเวทีที่จะแสดงมากขึ้น

รองผู้ว่าฯกทม. ตรวจการลงทะเบียนจัดระเบียบจักรยานยนต์รับจ้างวันแรก

กทม. เปิดรับลงทะเบียนจักรยานยนต์รับจ้างถูกกฎหมาย หวังจัดระเบียบวินเถื่อน ป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่ พร้อมจัดสวัสดิการเพิ่มความมั่นคงในอาชีพ อาทิ ประกันชีวิต และให้สินเชื่อเพื่อนำเงินไปประกอบอาชีพให้เกิดรายได้
(15 ก.พ. 54) ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจการรับลงทะเบียนจักรยานยนต์รับจ้างวันแรก ตามนโยบายจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างของกรุงเทพมหานคร และรัฐบาล ณ สำนักงานเขตคลองเตย โดยมี น.ส.อมรรัตน์ กฤตยานวัช ผู้อำนวยการเขตคลองเตย และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ เป็นการจัดระเบียบจักรยานยนต์รับจ้างในพื้นที่กรุงเทพมหานครให้ถูกต้อง โดยจะมีการจดทะเบียนรถจักรยานยนตร์รับจ้างให้เป็นป้ายเหลืองอย่างถูกกฎหมาย พร้อมทั้งจัดทำข้อมูลและออกบัตรประจำตัวผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานยนต์สาธารณะ หาสถานที่จัดตั้งวินใหม่ในพื้นที่ที่กำหนด ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ที่ตั้งวินจักรยานยนตร์และที่พักผู้โดยสารให้มีความสวยงาม ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนประชาชนที่ประกอบอาชีพสุจริตให้มีรายได้ และจัดระเบียบจักรยานยนต์รับจ้างให้เป็นระบบมากขึ้น ตลอดจนเชิญชวนให้ผู้ขับขี่เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครพิทักษ์เมือง เพื่อร่วมกันสอดส่อง ดูแล และแจ้งเบาะแสเหตุร้าย ลดปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่อีกด้วย

รองผู้ว่าฯกทม. ตรวจการลงทะเบียนจัดระเบียบจักรยานยนต์รับจ้างวันแรก

กทม. เปิดรับลงทะเบียนจักรยานยนต์รับจ้างถูกกฎหมาย หวังจัดระเบียบวินเถื่อน ป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่ พร้อมจัดสวัสดิการเพิ่มความมั่นคงในอาชีพ อาทิ ประกันชีวิต และให้สินเชื่อเพื่อนำเงินไปประกอบอาชีพให้เกิดรายได้
(15 ก.พ. 54) ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจการรับลงทะเบียนจักรยานยนต์รับจ้างวันแรก ตามนโยบายจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างของกรุงเทพมหานคร และรัฐบาล ณ สำนักงานเขตคลองเตย โดยมี น.ส.อมรรัตน์ กฤตยานวัช ผู้อำนวยการเขตคลองเตย และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ เป็นการจัดระเบียบจักรยานยนต์รับจ้างในพื้นที่กรุงเทพมหานครให้ถูกต้อง โดยจะมีการจดทะเบียนรถจักรยานยนตร์รับจ้างให้เป็นป้ายเหลืองอย่างถูกกฎหมาย พร้อมทั้งจัดทำข้อมูลและออกบัตรประจำตัวผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานยนต์สาธารณะ หาสถานที่จัดตั้งวินใหม่ในพื้นที่ที่กำหนด ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ที่ตั้งวินจักรยานยนตร์และที่พักผู้โดยสารให้มีความสวยงาม ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนประชาชนที่ประกอบอาชีพสุจริตให้มีรายได้ และจัดระเบียบจักรยานยนต์รับจ้างให้เป็นระบบมากขึ้น ตลอดจนเชิญชวนให้ผู้ขับขี่เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครพิทักษ์เมือง เพื่อร่วมกันสอดส่อง ดูแล และแจ้งเบาะแสเหตุร้าย ลดปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่อีกด้วย

เปิดอุโมงค์ยักษ์พระรามเก้า-รามคำแหง ป้องกันน้ำท่วมอย่างยั่งยืน

กทม. เปิดอุโมงค์ยักษ์พระรามเก้า-รามคำแหง อุโมงค์ระบายน้ำใต้ดินขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 5 ม. และความยาว 5 กม. เพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำเท่ากับการระบายน้ำออกจากสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน 4 สระ ภายในเวลาไม่ถึง 1 วินาที พร้อมเดินหน้าสร้างอุโมงค์ยักษ์รัชดาภิเษก-สุทธิสาร อุโมงค์ยักษ์ดอนเมือง และอุโมงค์ยักษ์สวนหลวง ร.9 แล้วเสร็จไม่เกิน 5 ปี
(15 ก.พ. 54) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิดอุโมงค์ยักษ์ พระรามเก้า-รามคำแหง ซึ่งเป็น 1 ใน 4 อุโมงค์ยักษ์ภายใต้นโยบายกรุงเทพฯก้าวหน้าของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างยั่งยืน โดยมีคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารสำนักการระบายน้ำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน ร่วมพิธี ณ สถานีสูบน้ำพระโขนง ซอยย่อยสาวณิต ซ.สุขุมวิท 50 ถ.สุขุมวิท

กทม. สร้าง 4 อุโมงค์ยักษ์ เพิ่มขีดความสามารถระบายน้ำใต้ดิน
กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการก่อสร้างระบบอุโมงค์ยักษ์ 4 แห่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของกรุงเทพฯ ประกอบด้วย อุโมงค์ยักษ์พระรามเก้า-รามคำแหง อุโมงค์ยักษ์รัชดาภิเษก-สุทธิสาร อุโมงค์ยักษ์ดอนเมือง และอุโมงค์ยักษ์สวนหลวง ร.9 ซึ่งอุโมงค์ยักษ์ทั้ง4 แห่ง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 เมตร นับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและมีขนาดใหญ่กว่าอุโมงค์ระบายน้ำทั่วไปซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.8 ม. ถึง 3 เท่า โดยจะสามารถระบายน้ำเพิ่มขึ้นอีกมหาศาลเท่ากับการระบายน้ำออกจากสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน 4 สระ ภายในเวลาไม่ถึง 1 วินาที มีความยาวของอุโมงค์ยักษ์ 4 แห่ง รวม 34.5 กม. ทำให้ปริมาณน้ำ ที่ไหลผ่านอุโมงค์ใต้ดินเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันไหลด้วยปริมาณรวมกันประมาณ 95 ลบ.ม./วินาที เป็น 240 ลบ.ม./วินาที

เดินหน้าก่อสร้างอุโมงค์ยักษ์อีก 3 แห่งต่อเนื่อง
สำหรับอุโมงค์ยักษ์พระรามเก้า-รามคำแหง สามารถระบายน้ำได้ปริมาณมากกว่า 60 ลบ.ม./วินาที มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 ม. และความยาว 5 กม. จุดเริ่มต้นที่คลองลาดพร้าวเชื่อมกับคลองแสนแสบ และไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เขตลาดพร้าว วังทองหลาง บางกะปิ ห้วยขวาง และสะพานสูง อุโมงค์ยักษ์ที่สอง คือ อุโมงค์ยักษ์รัชดาภิเษก-สุทธิสาร จะเริ่มก่อสร้างกลางปี 54 เพื่อช่วยระบายน้ำในเขตพื้นที่ห้วยขวาง ดินแดง จตุจักร พญาไท ดุสิต และบางซื่อ โดยอุโมงค์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 ม. ความยาวประมาณ 6.5 กม. เริ่มจาก ถ.รัชดาภิเษกตัดกับ ถ.สุทธิสารไปสิ้นสุดที่แม่น้ำเจ้าพระยา อุโมงค์ยักษ์ที่สาม คือ อุโมงค์ยักษ์ดอนเมือง เป็นอุโมงค์ระบายน้ำใต้ดินที่ยาวที่สุด มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบ 6 ม. ความยาว 13.5 กม. โดยครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 100 ตารางกม. ย่านจตุจักร หลักสี่ บางเขน ดอนเมือง และบางส่วนของพื้นที่เขตสายไหม และอุโมงค์ยักษ์ที่สี่ คือ อุโมงค์ยักษ์สวนหลวง ร.9 มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 ม. และมีประสิทธิภาพในการระบายน้ำ 60 ลบ.ม./วินาที มีความยาว 9.5 กม. เริ่มจากสวนหลวง ร.9 ไปจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา อุโมงค์นี้จะทำให้พื้นที่กว่า 85 ตารางกม.ได้รับประโยชน์ รวมถึงพื้นที่ย่านประเวศ พระโขนง บางนา และสวนหลวง โดยอุโมงค์ยักษ์ดอนเมือง และอุโมงค์ยักษ์สวนหลวง ร.9 จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 55 คาดว่าอุโมงค์ทั้งหมดจะก่อสร้างแล้วเสร็จไม่เกิน 5 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คณะกรรมการการโยธาฯ สภากทม. เร่งแก้ปัญหาสร้างถนนในเขตทวีวัฒนา และต่อเติมอาคารผิดกฎหมาย

(9 ก.พ. 54) ที่ห้องประชุม 2 สภากรุงเทพมหานคร : นายวิสูตร สำเร็จวาณิชย์ ประธานคณะกรรมการการโยธาและผังเมือง สภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมพิจารณา เรื่องร้องเรียนกรณีการก่อสร้างปรับปรุงถนนศาลาธรรมสพน์ และกรณีบริษัท บอร์เนียว เทคนิเคิล(ประเทศไทย) จำกัด ต่อเติมอาคารผิดกฎหมาย โดยมีนายประสิทธิ์ มะหะหมัด สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตสะพานสูง น.ส.รัตติกาล แก้วเกิดมี สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตสายไหม นายชูชาติ ประเสริฐกรรณ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตคลองสามวา และคณะกรรมการฯเข้าร่วมประชุม
นายวิสูตร กล่าวว่า สืบเนื่องจากได้รับหนังสือจาก ส.ก. และ ส.ข. ซึ่งได้รับร้องเรียนจากประชาชนในเขตทวีวัฒนา กรณีก่อสร้างปรับปรุงถนนศาลาธรรมสพน์ ช่วงคลองทวีวัฒนาถึงสุดระยะที่กำหนดให้ โดยสำนักการโยธา กทม. และบริษัท แสงชัยโชค จำกัด ผู้รับจ้าง ก่อสร้างถนนทำให้เกิดฝุ่นละออง และพบดินตกหล่นในการวางท่อระบายน้ำ ซึ่งไม่มีเจ้าหน้าที่มาคอยแซะดินที่ตกหล่นและฉีดน้ำล้างถนน อีกทั้งก่อสร้างไม่เป็นไปตามสัญญาจ้างและขอบเขตเนื้องาน หากก่อสร้างเสร็จอาจทำให้ทางเท้าเกิดการทรุดตัวได้ ภายหลังตรวจสอบพบว่าอยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์ก่อสร้างและบูรณะถนน 4 สำนักการโยธา โดยได้รับคำชี้แจงว่า การก่อสร้างของผู้รับจ้างนั้นได้ราดน้ำผิวจราจร บริเวณสถานที่ก่อสร้างในช่วงเวลา 08.00-09.00 น. และ 15.30–16.00 น. ของแต่ละวันเพื่อป้องกันฝุ่นละออง และได้เก็บวัสดุที่ตกหล่นบนผิวจราจรและทำความสะอาด นอกจากนี้ยังได้บดอัดทรายก้นท่อระบายน้ำและพื้นฐานทางเท้า โดยใช้เครื่องบดอัดชนิดสั่นสะเทือน ทั้งนี้ในการก่อสร้างทางเท้าได้ใช้วัสดุประเภทดินถม ทรายถม หรือหินฝุ่น บดอัดแน่นตามเกณฑ์ มาตรฐานไม่น้อยกว่า 95%
สำหรับเรื่องร้องเรียนกรณีบริษัท บอร์เนียว เทคนิเคิล (ประเทศไทย) จำกัด ต่อเติมอาคารผิดกฎหมาย ซี่งสำนักงานเขตหลักสี่ ได้เข้าไปตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นการก่อสร้างโครงหลังคาเหล็กปกคลุมถนนจำนวน 1 โครงหลังคา ตั้งอยู่อาคารเลขที่ 89/175 หมู่ 3 ถ.วิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.เพื่อใช้เป็นอาคารเก็บสินค้าของบริษัท เขตฯ จึงได้มีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง ดัดแปลงอาคาร คำสั่งห้ามใช้หรือเข้าไปในส่วนใดๆ ของอาคาร หรือบริเวณอาคาร รวมทั้งคำสั่งให้ดำเนินการแก้ไขยื่นคำขอรับใบอนุญาต ก่อสร้าง ดัดแปลง อาคารแล้ว และจะได้ดำเนินคดีอาญาฐานก่อสร้าง ดัดแปลง อาคาร โดยมิได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ต่อไป
ประธานคณะกรรมการฯ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องร้องเรียนทั้ง 2 กรณีนี้ คณะกรรมการการโยธาและผังเมือง สภากรุงเทพมหานคร จะได้ลงไปสำรวจพื้นที่ทั้ง 2 เขต โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลเพื่อหาข้อสรุป และทำรายงานถึงประธานสภากรุงเทพมหานคร เพื่อส่งเรื่องให้ฝ่ายบริหารดำเนินการต่อไป นอกจากนี้คณะกรรมการฯ จะได้ทำบันทึกถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยตรงเพื่อความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน

กทม. จัดทำบัตรอวยพรเนื่องในวันมาฆบูชา แจกให้ประชาชน

นายสมศักดิ์ จันทวัฒนา ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม. เปิดเผยว่า เนื่องในวันมาฆบูชา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 ถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนจะได้ร่วมกันทำบุญ เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และเหตุการณ์สำคัญที่พระพุทธเจ้าได้แสดงพระธรรมเทศนาคือ โอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมพระสงฆ์ 1,250 รูป ที่มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ถือได้ว่าเป็นการประกาศหลักธรรม และวิธีการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา 3 ประการ ได้แก่ การเว้นจากการทำชั่วทั้งกาย วาจา ใจ การทำความดีถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ และการทำจิตใจให้หมดจดบริสุทธ์ผ่องใส วันมาฆบูชาจึงถือเป็นวันแห่งความรักทางพระพุทธศาสนา
ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูประเพณีทางพุทธศาสนา คือ การมอบความรัก ความเมตตา ต่อเพื่อนร่วมโลก ตามรอยพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ให้มนุษย์ตั้งมั่นในการทำความดี ละความชั่ว ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน กทม. จึงได้จัดทำบัตรอวยพรเนื่องในวันมาฆบูชา จำนวน 4 แบบ รวม 200,000 แผ่น แจกจ่ายให้พุทธศาสนิกชน ได้แสดงความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อกันผ่านการเขียนบัตรอวยพร ส่งเสริมให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรักให้ทุกคนได้รู้รักอย่างพุทธ คือ รักอย่างมีสติ มีความเมตตา ไม่คิดทำลาย ทำร้ายผู้อื่น ซึ่งจะทำให้สังคมเกิดความสงบสุข โดยผู้สนใจสามารถขอรับบัตรอวยพรดังกล่าวได้ฟรี ที่กองวัฒนธรรม สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ศาลาว่าการกทม.2 ห้องสมุด และศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต จนถึงสิ้นเดือน ก.พ. 54 นี้

กทม. ห่วงใยรวมใจต้านภัยเอดส์ ปี54

กทม. ห่วงใยรวมใจต้านภัยเอดส์ ปี54

(10 ก.พ. 54) เวลา 15.00 น. : นายแพทย์พีระพงษ์ สายเชื้อ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดโครงการรณรงค์รวมใจต้านภัยเอดส์ เนื่องในวันแห่งความรัก ประจำปี 2554 ภายใต้ชื่องาน White Valentine (Good Wish…White Love) “ปรารถนาดี ...มีรักปลอดภัย” โดยมีคณะผู้บริหารสำนักอนามัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมงาน ณ ลานซิตี้วอล์ค ชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์งามวงศ์วาน

โครงการรณรงค์รวมใจต้านภัยเอดส์ เนื่องในวันแห่งความรัก ประจำปี 2554 จัดขึ้นโดยกองควบคุมโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ภายใต้ชื่องาน White Valentine (Good Wish…White Love) “ปรารถนาดี...มีรักปลอดภัย” เป็นกิจกรรมที่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่เกิดทัศนคติเชิงบวกต่อการชะลอการมีเพศสัมพันธ์ ตลอดจนการมีเพศสัมพันธ์เมื่อถึงวัยอันควร รวมถึงการรู้จักใช้ถุงยางอนามัย กรณีมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำหรับกิจกรรมภายในงานเป็นกิจกรรมที่สร้างความบันเทิง สอดแทรกสาระความรู้เรื่องโรคเอดส์ ให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ประกอบด้วย ซุ้มColorful of Love เป็นกิจกรรมบริการเพ้นส์สีบนร่างกายด้วยสัญลักษณ์ที่เติมสีสันในวันแห่งความรัก ซุ้ม Safety Love เป็นเกมให้ผู้เล่นกลิ้งบอล ซุ้มยืดอกพกถุง เป็นเกมโยน Condom ให้เข้าอก ซุ้มAIDS Postcard Exhibition เป็นการแสดงผลงานโปสการ์ดที่ส่งเข้าประกวด นอกจากนี้ยังมี Mini Concert จากศิลปินที่มีชื่อเสียง มาให้ความบันเทิง พร้อมการจัดแสดงนิทรรศการความรู้ ข่าวสาร และสถานการณ์ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวจะช่วยรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคเอดส์และโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ให้น้อยลง

กทม. พร้อมขึ้นทะเบียนมอเตอร์ไซด์รับจ้างทั่วกรุง สร้างวินในฝัน 15 ก.พ. นี้

กทม. พร้อมขึ้นทะเบียนมอเตอร์ไซด์รับจ้างทั่วกรุง สร้างวินในฝัน 15 ก.พ. นี้

(10 ก.พ. 54) เวลา 14.00 น. ณ ห้องเจ้าพระยา ศาลาว่าการกทม. : นายเจริญรัตน์ ชูติกาญจน์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมซักซ้อมเตรียมความพร้อมการลงทะเบียนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ ว่า กรุงเทพมหานครได้รับนโยบายจากรัฐบาล ให้เป็นเจ้าภาพในการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์รับจ้าง ซึ่งได้ดำเนินการวางหลักเกณฑ์การพิจารณาการจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว โดยการประชุมในครั้งนี้สำนักการจราจรและขนส่งร่วมกับฝ่ายเทศกิจ ทั้ง 50 เขต ซักซ้อมดำเนินการจัดระเบียบและขึ้นทะเบียนรถจักรยานยนต์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีจำนวนกว่า 1000,000 คัน โดยมี รถจักรยานยนต์และวิน จำนวนมากที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนและทำฐานข้อมูลผู้ขับขี่ ดังนั้น การขึ้นทะเบียนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างและวิน ให้ถูกต้องตามกฎหมาย จะทำให้ผู้ใช้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้างได้รับความสะดวกและปลอดภัย รวมทั้งผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างได้รับการดูแลคุณภาพชีวิต และมีมาตรฐานที่ดีขึ้น

สำหรับผู้ประสงค์จะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รายใหม่ รวมถึงผู้ประสงค์จัดตั้งวินใหม่ ให้นำเอกสารและหลักฐานไปยื่น ณ สำนักงานเขตพื้นที่ 50 เขต ตั้งแต่วันที่ 15-28 ก.พ. 54 และในส่วนของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างรายเก่าที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องแล้ว ให้นำหลักฐานไปยื่น ระหว่างวันที่ 15 ก.พ. – 15 มี.ค. 54 ซึ่งประกอบด้วย สำเนาบัตรประชาชน สำเนาใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ สำเนาคู่มือจดทะเบียนรถจักรยานยนต์รับจ้าง พร้อมรับรองสำเนาทุกฉบับ ยื่นความจำนงได้ที่สำนักงานเขตพื้นที่ 50 แห่ง ช่วงวันจันทร์-เสาร์ เวลาราชการ เว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยภายหลังจากผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างลงทะเบียนเสร็จแล้ว จะได้รับบัตรประจำตัว พร้อมเสื้อกั๊ก 1 ตัว หมวกนิรภัย 2 ใบ สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

เปิดตัวหนังสือ “อุทยานสวนจตุจักร” สื่อกลางความเข้าใจรวม 3 สวน

เปิดตัวหนังสือ “อุทยานสวนจตุจักร” สื่อกลางความเข้าใจรวม 3 สวน

(10 ก.พ. 54) ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกทม. : นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ “อุทยานสวนจตุจักร เนรมิตสวนขวัญ ใต้ร่มพรรณพฤกษา” ซึ่งกรุงเทพมหานครจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่การดำเนินงานพัฒนาอุทยานสวนจตุจักรไปสู่สาธารณะชน เนื่องจากการสร้างศูนย์กลางคมนาคมบริเวณสวนจตุจักร ได้ลดพื้นที่ของสวนจตุจักร คณะรัฐมนตรีมีมติให้รวมพื้นที่สวนสาธารณะ 3 แห่ง ประกอบด้วย สวนจตุจักร สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ และสวนวชิรเบญจทัศเข้าด้วยกัน ภายใต้ชื่อ “อุทยานสวนจตุจักร” ซึ่งหากรวม 3 สวนเข้าด้วยกันก็จะเป็นสวนสาธารณะระดับมหานคร ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ บนพื้นที่ 727 ไร่

สำหรับหนังสือ “อุทยานสวนจตุจักรฯ ” กรุงเทพมหานครจัดพิมพ์ขึ้น จำนวน 7,000 เล่ม เพื่อแจกจ่ายให้กับหน่วยงานสังกัดกรุงเทพมหานคร หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป โดยนำเสนอแนวคิดการใช้ประโยชน์พื้นที่ของสวนสาธารณะที่มีจุดเด่นแตกต่างกันในแต่ละแห่ง คือ สวนจตุจักร จุดเด่นคือ เป็นสวนสุขภาพ สวนแห่งศิลปะ และสวนแห่งการเรียนรู้ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จุดเด่นคือ เป็นสวนที่รวบรวมพันธุ์ไม้หายาก ทั้งไม้ป่า ไม้น้ำและสมุนไพรกว่า 230 ชนิด และสวนวชิรเบญจทัศ จุดเด่นคือ เป็นสวนกิจกรรมเหมาะสำหรับคนในครอบครัว โดยแนวทางการรวมสวนทั้ง 3 แห่งนี้เข้าด้วยกันจะคำนึงถึงสภาพแวดล้อมโดยมีการปลูกต้นไม้เพิ่มเติม 790 ต้น สร้างการเชื่อมโยงระหว่างสวนทั้ง 3 แห่ง ด้วยภูมิสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ การปรับปรุงทางเข้าให้มีความชัดเจนสังเกตได้ง่าย การจัดระบบเส้นทางการเรียนรู้ การกระจายสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทั่วถึง รวมถึงการปรับปรุงทางเดินภายในสวนให้เชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ และการจัดพื้นที่สำหรับกิจกรรมต่างๆ อย่างหลากหลาย เพื่อเป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ให้ประชาชนได้รับประโยชน์ ความสะดวกสบาย เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลังกาย รวมทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านพฤกษศาสตร์อีกด้วย

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครได้น้อมนำแนวของพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาสร้างสรรค์ให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองสวรรค์ด้วยการดำเนินนโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ได้ 5,000 ไร่ ภายในระยะเวลา 4 ปี จัดสร้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ทั้งนี้เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา ในปี 2554 ซึ่งหากองค์กร หรือประชาชนสนใจสามารถขอรับหนังสือได้ที่สำนักสิ่งแวดล้อม ศาลาว่าการกทม.2 ดินแดง สอบถามโทร. 0 2245 3748

กทม. ร่วมเสนอแนะบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ

กทม. ร่วมเสนอแนะบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ

(10 ก.พ. 54) นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมอภิปรายเรื่อง การทบทวนแผนการบริหารจัดการน้ำของชาติอันเนื่องมาจากวิกฤตทางธรรมชาติ ในการประชุมทิศทางการวิจัยเพื่อการจัดการน้ำของชาติ ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นำไปสู่นโยบายการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย คณะนักวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้องกว่า 200 คน ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ เขตหลักสี่

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กำหนดจัดการประชุม เรื่อง ทิศทางการวิจัยเพื่อการจัดการน้ำของชาติ เนื่องจากในปัจจุบันเกิดปัญหาน้ำหลายประการ ทั้งการขาดแคลนน้ำ อุทกภัย หรือน้ำเน่าเสีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และสังคม จำเป็นยิ่งที่ควรวางแผนและกำหนดทิศทางบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบและครอบคลุม เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาในระยะสั้นและระยะยาวให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ รวมถึงการบริหารจัดการน้ำโดยรวมของประเทศได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ

รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า กทม.ได้บูรณาการการทำงานของหน่วยงานในสังกัด ได้แก่ สำนักการระบายน้ำ สำนักการโยธา สำนักสิ่งแวดล้อม และสำนักผังเมือง เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำสำหรับการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างครบวงจร ตลอดจนกำหนดแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจากปริมาณน้ำเหนือ น้ำฝน และน้ำทะเลหนุนสูงในช่วงฤดูฝน รวมถึงการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนให้มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กทม. เปิดอบรมฟรีหลักสูตรพัฒนาธุรกิจ

นางจันทนา พันธุ์พิริยะ รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสังคม กทม. แจ้งว่า สำนักพัฒนาสังคมเปิดฝึกอบรมหลักสูตรพัฒนาธุรกิจ รุ่นที่ 2 ณ ศูนย์พัฒนาธุรกิจ อาคารเศรษฐกิจชุมชน ซ.จรัญสนิทวงศ์ 79 เขตบางพลัด เพื่อเสริมสร้างพัฒนาทักษะและเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้ประกอบการให้แก่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดจิ๋ว ให้สามารถวางแนวทางการตลาด การบริหารจัดการต้นทุนและการเงิน ตลอดจนสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีจุดขาย สามารถแข่งขันในตลาดได้ในเชิงธุรกิจ โดยเปิดฝึกอบรม ใน 7 หัวข้อวิชา ประกอบด้วย วิชาการเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นผู้ประกอบการ ระหว่างวันที่ 12-13 ก.พ. 54 วิชาการตลาดสำหรับกิจการขนาดย่อม ระหว่างวันที่ 19-20 ก.พ. 54 วิชาการบริหารจัดการ ระหว่างวันที่ 26-27 ก.พ. 54 วิชาการเงินและการหาแหล่งเงินทุน ระหว่างวันที่ 5-6 มี.ค. 54 วิชาการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ระหว่างวันที่ 12-13 มี.ค. 54 วิชาการจัดทำแผนธุรกิจ ระหว่างวันที่ 19-20 มี.ค. 54 และวิชาการประกอบธุรกิจผ่านเว็บไซต์ ระหว่างวันที่ 2-3 เม.ย. 54 โดยอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในหลักสูตรธุรกิจ
ผู้สนใจสมัครได้ที่กลุ่มงานส่งเสริมอาชีพและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (อาคาร 3 ชั้น 5) กองส่งเสริมอาชีพ สำนักพัฒนาสังคม ถ.มิตรไมตรี เขตดินแดง กทม. โทร. 0 2247 9492 โทรสาร 0 2247 9493 ในวันเวลาราชการ และศูนย์พัฒนาธุรกิจ อาคารเศรษฐกิจชุมชน ซ.จรัญสนิทวงศ์ 79 เขตบางพลัด กทม. ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น (วันจันทร์-วันอาทิตย์) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

14 ก.พ. นี้ พร้อมเปิดใช้จุดเชื่อมต่อ BRT-BTS แยกสาทร – นราธิวาสฯ

(3 ก.พ. 54) เวลา 13.30 น. : ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าการก่อสร้างลานอเนกประสงค์จุดเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) ช่องนนทรี กับสถานีรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ (BRT) สาทร บริเวณแยกสาทร-ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ว่า กรุงเทพมหานครจะเปิดใช้จุดเชื่อมต่อการเดินทางรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) และรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ (BRT) ในวันที่ 14 ก.พ. 54 โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะเป็นประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งใช้ระบบตั๋วร่วมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มความรวดเร็วในการเดินทางในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะให้แก่ประชาชน ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณผู้ใช้บริการรถโดยสาร BRT เพิ่มขึ้นจากเดิม 10,000 คนต่อวันเป็น 13,000–14,000 คนต่อวัน และภายใน 2 ปี จะมีผู้ใช้บริการมากขึ้นถึง 30,000 คนต่อวัน ส่วนการจราจร ในเส้นทางรถประจำทางด่วนพิเศษ (BRT) นั้น กรุงเทพมหานครได้ทำการทดลองให้ประชาชนสามารถนำรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาวิ่งได้ในชั่วโมงเร่งด่วน เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา เพื่อระบายการจราจรในบริเวณดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับความคืบหน้าโครงการก่อสร้างลิฟท์โดยสารสำหรับคนพิการในสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) ให้ครบทุกสถานี รวมจำนวน 56 ตัว ภายในปีงบประมาณ 2554 จะเริ่มดำเนินการตอกเสาเข็มในวันที่ 14 ก.พ. 54 นี้เช่นกัน เพื่อให้คนพิการสามารถเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนได้สะดวกยิ่งขึ้น

กทม. จับมือนิด้า ทำวิจัยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม มุ่งสร้างกรุงเทพฯเป็นเมืองน่าอยู่

(3 ก.พ. 54) ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร : ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ลงนามความร่วมมือดำเนินโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาและแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางสังคมในกรุงเทพมหานคร เพื่อทำให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองน่าอยู่ โดยได้รับความร่วมจากมหาวิทยาลัยภาครัฐและเอกชนในกรุงเทพฯ รวม 25 แห่ง ร่วมเป็นเครือข่ายดำเนินการวิจัย สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนร่วมเป็นวิทยากรนำร่องด้านการศึกษาชุมชน และสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทยร่วมทำงานวิจัยสำรวจเชิงปริมาณ โดยมี นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า โครงการวิจัยดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อดำเนินการตามแผนโครงการร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย ในการแก้ไขความไม่เสมอภาค ความเหลื่อมล้ำทางสังคมในกรุงเทพฯ และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประชาชนและภาคีต่างๆ ในการพัฒนาชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกัน ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขแม้เกิดภาวะวิกฤต อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาของชุมชนอย่างเป็นระบบ ให้ชุมชนเกิดการเรียนรู้และสามารถพึ่งตนเองได้ โดยกทม. ได้รับความร่วมมือจากสถาบันอุดมศึกษาในกรุงเทพฯ ลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล วิเคราะห์ปัญหาตลอดจนนำผลการวิจัยไปสู่การปฏิบัติและประเมินผล เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาและใช้เป็นฐานข้อมูลในการกำหนดกิจกรรมเพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า โครงการนี้จะดำเนินการสำรวจความเหลื่อมล้ำทางสังคมใน 6 ประเด็น คือ 1. การเข้าถึงระบบการศึกษาและการพัฒนาเยาวชน 2. การพัฒนาด้านกายภาพของชุมชน 3. การแก้ไขปัญหาความยากจน และสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน 4. การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมโดยอำนาจรัฐ 5. การเข้าถึงทรัพยากรของรัฐ และ 6.การแสดงความคิดเห็น ซึ่งการศึกษาในครั้งนี้จะเป็นการวิจัยแบบมีส่วนร่วมระหว่างแกนนำประชาชน นักวิจัย นักวิชาการและผู้ประสานงานในพื้นที่ มีลักษณะเนื้องานเป็นการวิจัยและพัฒนา ที่เน้นทั้งคุณภาพและปริมาณรวมทั้งใช้วิธีวิจัยเชิงทดลอง โดยมีบุคคลที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ได้แก่ ผู้นำชุมชน ผู้นำกลุ่มและประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากประชากรในชุมชน จาก 96 ชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะใช้เวลาในการดำเนินการ 8 เดือน ระหว่างเดือน ก.พ. - ก.ย. 54

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กทม. สร้างเครือข่ายเยาวชนวัยเรียน วัยใส ใส่ใจสุขภาพ

กทม. เปิดตัวโครงการวัยเรียน วัยใส ใส่ใจสุขภาพ ดึงผู้นำเยาวชนในสถานศึกษาร่วมกิจกรรม สร้างเครือข่ายส่งเสริมสุขภาพ เน้นเยาวชนรู้ปัญหาและสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ผ่านกิจกรรมทันสมัยโดยมี Bangkok Health Youth Club เป็นศูนย์กลาง สื่อสารผ่านเว็บไซต์ http://bangkokyouthclub.com
(3 ก.พ. 54) ณ สวนหลวงพระราม 8 (ฝั่งธนบุรี) เขตบางพลัด : ม.ร.ว.สุขมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในงานเปิดตัวโครงการวัยเรียน วัยใส ใส่ใจสุขภาพ (Bangkok Health Youth Club) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสร้างภาคีเครือข่าย ด้านการส่งเสริมสุขภาพในสถานศึกษา ตามนโยบายการพัฒนาสุขภาพและสร้างสังคมแห่งสุขภาวะด้านการพัฒนาสุขภาพเด็กและเยาวชน โดยมีผู้นำเยาวชนในโรงเรียนเป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรมด้านต่างๆ เพื่อหารูปแบบใหม่ของการมีส่วนร่วม เพิ่มบทบาทหน้าที่ และสร้างแรงจูงใจการดำเนินงานร่วมแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพ สร้างจิตสำนึกให้รู้จักดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมประกอบด้วย นักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ผู้ปกครอง ผู้บริหารโรงเรียน สำนักการศึกษา สำนักงานเขต ศูนย์บริการสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการวัยเรียน วัยใส ใส่ใจสุขภาพ ซุ้มกิจกรรมและเกมต่างๆ การออกกำลังสุขภาพดี พร้อมลุ้นรับของรางวัล การแสดงเชียร์วัยใสใส่ใจสุขภาพ โชว์นาฏมวยไทย โชว์กระบี่กระบองและมวยไทย พร้อมร่วมฟังเคล็ดลับความใส ใส่ใจสุขภาพของเหล่าดารา ศิลปินขวัญใจวัยรุ่น และวิธีดูแลหุ่นให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม ทั้งนี้โครงการวัยเรียน วัยใส ใส่ใจสุขภาพ จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ครู นักเรียน และผู้ปกครองของนักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์ 2 ด้าน คือ 1. เยาวชนดูแลสุขภาพด้วยตนเอง คือ รู้ปัญหาด้วยตนเอง ต้องการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และสามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพได้ 2. เพื่อนช่วยเพื่อน ซึ่งเป็นการร่วมกันดูแลสุขภาพ โดยการรวมกลุ่มทำกิจกรรม และจัดตั้ง Bangkok Health Youth Club เพื่อเป็นการปลุกกระแสตื่นตัวการร่วมกันดูแลสุขภาพ และการสร้างจิตสำนึกให้เด็กวัยเรียนมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพตนเองเห็นความสำคัญของการสร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาพ ผ่านกิจกรรมที่ทันสมัยและเป็นที่น่าสนใจของเยาวชน พร้อมจัดทำบัตร Bangkok Health Youth Club Card เพื่อดึงดูดใจให้เยาวชนในสถานศึกษาเข้าร่วมเป็นสมาชิกและทำกิจกรรมร่วมกัน และสื่อสารกันผ่านเว็บไซต์ http://bangkokyouthclub.com
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า กรุงเทพมหานครตระหนักถึงปัญหาสุขภาพของเด็กและเยาวชน ซึ่งส่วนใหญ่ คือ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ปัญหายาเสพติด และปัญหาโรคอ้วน จึงมีนโยบายด้านการพัฒนาสุขภาพเด็กและเยาวชน และสร้างเสริมภาวะผู้นำด้านสุขภาพ ทั้งนี้จากการดำเนินงานที่ผ่านมา การจัดกิจกรรมสำหรับเยาวชนส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากแนวคิดของหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้คิดวางแผนหรือวางแนวทาง ซึ่งอาจไม่ตอบสนองปัญหาของเยาวชนแต่ละบริบทได้ แต่การดำเนินงานรูปแบบใหม่นี้ จะมุ่งเน้นให้เยาวชนรู้ปัญหาด้วยตนเอง แก้ไขปัญหาด้วยตนเอง รวมถึงสามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพด้วยตนเองและเพื่อนได้ ดังนั้นการสนับสนุน ส่งเสริมให้สถานศึกษาจัดตั้ง Bangkok Health Youth Club ให้เป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อนร่วมกันดูแลสุขภาพในโรงเรียน โดยมีผู้นำเยาวชนทำหน้าที่และเป็นกลไกสำคัญที่จะส่งผลให้เด็กวัยเรียนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ อันจะนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน เกิดเครือข่ายด้านสุขภาพในสถานศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับคำขวัญที่ว่า “ทั้งชีวิต เราดูแล”